คิดอย่างหลากหลาย Divergent Thinking

ความคิดสร้างสรรค์คือการเปลี่ยนแปลงโลก

            จากข้อความข้างต้นในปัจจุบันนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลง แต่ในอดีตนั้นเราไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์มากนัก เนื่องจากในยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม องค์กรต่าง ๆ มีความต้องการพนักงานที่มีความขยัน ตรงต่อเวลา เพื่อที่จะให้ธุกรกิจ (โรงงาน) ประสบความสำเร็จ กล่าวคือ นายจ้างเพียงต้องการแค่แรงงาน นอกจากนั้นงานราชการอื่น ๆ ก็เป็นเพียงแค่งานทั่วไป ไม่ได้มีความซับซ้อนแต่อย่างใด ต้องการประสบการณ์ การทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ 

            ในยุคปัจจุบันนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก องค์กรต่าง ๆ ต้องการความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นนั้น จำเป็นที่จะต้องหาวิธีการนอกกรอบปฏิบัติ มาพลิกแพลงให้เกิดประสิทธิภาพ

            เราอาจชินกับความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเทคโนโลยี อย่างการที่เทสลาคิดค้นระบบการทำงานของหลอดไฟที่มีประสิทธิภาพ สตีฟ จ๊อบ ที่เป็นผู้คอบควบคุมการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเช่น iPhone แต่ในความเป็นจริงแล้วความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่เรียบง่าย เช่น นักศึกษาที่ต้องการเงินพร้อมกับความต้องการอ่านหนังสือไปด้วย จึงไปสมัครงานเป็น รปภ กะดึกเพื่อจะได้อ่านหนังสือในขณะที่ได้เงินไปด้วย หรือบริษัทที่ปรับเปลี่ยนเวลาเข้างานของพนักงานไม่ให้เข้างานพร้อมกันเพื่อความสะดวกในการเดินทางของพนักงาน หรือการพับกระดาษมาแปะหลอดไฟเพือลดแสงของหลอดไฟ

รูปภาพที่เกี่ยวข้องเราจะเห็นได้ว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นเรียบง่ายแค่ไหน จับต้องได้มากแค่ไหน และก็ไม่จำเป็นจะต้องมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมเสมอไป ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นลักษณะของความคิดแบบแผร่ขยาย ในที่นี้ขอใช้คำว่า Divergent Thinking (การคิดหลากหลาย) โดยการคิดแบบ Divergent นั้นก็ไม่ได้เข้าใจยากอะไร มันคือการคิดมากเท่านั้นเอง คิดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นการมองปัญหาในเชิงกว้าง เหมือนการใช้ตะข่ายขนาดใหญ่เพื่อจับปลาให้ได้มาก ๆ โดยมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

            มีความคิดริเริ่ม (Originality หรือ Initiation) เราอาจเคยได้ยินจากร้าน คริปปี้ครีม (รส Original) ซึ่งจะมีรสดั่งเดิมอยู่ ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยนักว่าทำไมเราถึงเรียกความคิดริเริ่ม่ว่าดังเดิม คริปปี้ครีมอาจเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนัก แต่อีกตังอย่างที่สามารถนำมาอธิบายได้อย่างดีคือ "ภาพยนตร์" เราเรียกภาพยนตร์ที่คลาสสิก ว่า Original เนื่องจากในสมัยนั้นความคิดของภาพยนตร์เหล่านี้ืมีความแปลกใหม่ และมีความไม่เหมือนใคร เช่น ภาพยรตร์ Star War, Indiana Jones หรือ Vertigo ที่มีความแตกต่างกับภาพยนตร์ทั่วไป กล่าวคือความคิดริเริ่มคือ ความคิดที่แตกต่างไปจากความคิดธรรมดาทั่วไป

            มีความคิดแบบยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดแบบนี้เป็นไปตามเนื้อคำเลย ยืดหยุุ่นหมายถึง ยืดได้หดได้ เหมือนกับแป้งที่สามารถนำมาไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอย่าง หรือยกตัวอย่างการที่สามารถนำกระดาษที่เหลือ ๆ ไปทำอะไรได้บ้าง เรามักพบเห็นอาจารย์ที่สามารถนำเอาคลิปโฆษณาจาก Youtube ไปใช้สอนนักเรียนหรือนักศึกษาได้อย่างดี นอกจากหลากหลายแล้วสามารถนำเอาไปดัดแปลง ประยุกต์ใช้งานได้อย่างเช่น ตัวอย่างของการเอาคลิปโฆษณาจาก Youtube ไปสอนนักเรียน หรือการใช้บทเรียนทางประวัติศาสตร์มาประยุกต์สอนนอกตำรา พัฒนาตนเอง

            ความคิดแบบคล่องแคล่ว (Fluency) สามารถหาผลลัพธ์ของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น เราอาจตั้งคำถามทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา หรือโจทย์ทางฟิสิกส์ไว้ และสามารถหาคำตอบได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่จำกัด ซึ่งจะต้องอาศัยการใช้คำหรือวลีมารวมกันอย่างรวดเร็ว การคิดอย่างรวดเร็ว และการเชื่อมโยงอย่างรวดเร็ว เช่น การโยงประโยชน์ของสิ่งของหลาย ๆ อย่างมา และนำมาใช้ร่วมกันในการทำกิจกรรมบางสิ่งบางอย่าง

            สุดท้ายความคิดอย่างละเอียดละออ (Elaboration) หรือคือการทำให้ความคิดข้างต้นที่กล่าวมาสมดุลกัน บรูณาการให้เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความละเอียดละออ

            การใช้ Divergent Thinking อย่างเรียกง่ายก็คือการตั้งคำถามในเชิง Why (ทำไม) ซึ่งคำนี้เป็นกุญแจสำคัญของสติปัญญาตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนไปถึงขั้นสูงสุด เป็นเครืองมือในการเติมเต็มเด็กอายุ 3-5ขวบ (ลองถามเด็ก 3-5 ขวบดูสิครับว่ากระดาษทิชชู่ทำไรได้บ้างแล้วจะตกใจ) และไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน มันก็ยังเป็นเครืองมือที่ใช้กันทุกยุคทุกสมัย

            ยกตัวอยากเรื่องราวของนโปเลียนที่สถาปณาตนเองขึ้นเป็๋นกษัตริย์ การคิดแบบ Divergent ก็คือการตั้งคำถาม และหาคำตอบ ว่าเพราะเหตุผลใดนโปเลียนถึงอยากเป็นกษัตริย์ ทำไมถึงขึ้นครองราชได้ ทำไมไม่มีใครต่อต้าน ยกตัวอย่างเช่น อยากขึ้นเพราะอำนาจ (ซึ่งแน่นอนใคร ๆ ก็ต้องการอำนาจ) หรือ อยากขึ้นเพราะต้องการแก้ปัญหาบ้านเมือง (ก็เป็นข้อเท็จจริงที่นโปเลียนได้แก้ไขปัญหาบ้านเมืองจริง) หรือเพราะต้องการทำลายประเทศฝรั่งเศส เนื่องนโปเลียนไม่ใช่คนฝรั่งเศษและมีปัญหากับผู้บังคับบัญชาในช่วงที่เป็นทหารปืนใหญ่ (ซึ่งคำถามนี้ไม่ได้เป็นความจริง เพราะนโปเลียนมีความภาคภูมิใจและชอบสละชีวิตเพื่อกอบกู้ฝรั่งเศสจากยุคมืด) จากตัวอย่างเราจะได้เห็นว่าจะเกิดแง่มุมหลาย ๆ อย่างให้เราได้ศึกษาและค้นหาคำตอบ เราสามารถตอบปัญหาทางประวัติศาสตร์ได้หลายอย่าง ดังนั้นแล้วความคิดแบบ Divergent ไม่ใช่เพียงแค่เกี่ยวกับเทคโนโลยี นวัตกรรม การผลิต สื่อต่าง ๆ แต่สามารถนำมาใช้ได้ทุกอย่างในชีวิตประจำวัน การศึกษา การเรียนทุก ๆ วิชา

สุดท้ายขอให้ทุกคนจงเป็นคนคิดมาก ๆ เข้าไว้

ความคิดเห็น