อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) กับการศึกษา

"เมื่อแน่ใจว่ายืนอยู่ในที่ๆถูก ต้องยืนให้มั่น" Abraham Lincoln
            เรามักจะมี Common Sense ที่ว่ายิ่งเรียนสูงยิ่งฉลาด แต่จริงแล้วมันผิด......ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าการเรียนสูงไม่ได้ฉลาดนะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่าการเรียนที่มากๆต่างหากทำให้ฉลาด และการเรียนนั้นก็ไม่ได้เพียงแค่ปริญญาทั่วๆไป แต่หมายถึงประสบการณ์ชีวิต การพูดคุยกับผู้คน การสังเกต และการอ่านทำให้คนฉลาด

            ถ้าจะให้ผมพิสูจน์ว่าความคิดผมถูกต้อง ผมก็จะยกประวัติของเด็กคนหนึ่งผู้ซึ่งเรียนน้อยมากๆ และมีโอกาสในชีวิตที่น้อยกว่าคนอื่นหลายเท่า มีชีวิตทีเศร้าและยากจนมากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกนี้ ความคิดความอ่านของเขานั้นสูงส่งและไร้เทียบทาน  คนที่สามารถรวมประเทศที่แตกแยกเข้ามารวมกันจนเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกในอนาคต คนที่สร้างความยุติธรรมให้คนผิวดำนับล้าน และคนผิดดำเป็นล้านที่กำลังจะเกิดมา เขาคือ Abraham Lincoln (ฮับราฮัม ลินคอล์น)

            ตอนลินเคอล์นอายุได้เพียง 5 ขวบเขารู้อักขระพออ่านได้บ้างเล็กๆน้อยๆ แต่อ่านด้วยความลำบาก และยังเขียนไม่เป็นในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ค.ศ. 1824 มีครูชาวป่าพเนจรผู้หนึงมาเปิดโรงเรียนแห่งหนึ่งขึ้น ลินคอล์นและพี่สาวของเขาเดินทางเป็นระยะสี่ไมล์ไปตามป่า ในตอนเช้าและกลางคืน เพื่อเรียนหนังสือกับครูคนนี้ อาเซล ดอร์ซีย์
            วิธีที่เขาสอนนั้นใช้วิธีให้เด็กอ่านเสียงดัง เพื่อเขาจะได้รู้ว่าใครสนใจไม่สนใจ ถ้าเขารู้ว่าใครไม่ตั้งใจไม่อ่านออกเสียงเขาจะเอาไม้เรียวไปฟาดทันที

            โรงเรียนเปิดสอนในกระท่อมแย่ๆ ซึ่งความสูงเท่าคนยืนพอดี เป็นกระท่อมที่ไม่มีหน้าต่าง ลินคอร์นเรียนด้วยการอ่านบทต่างๆของ คัมภีร์ไบเบิลและหัดเขียนลายมือเรียนแบบลายมือของวอชิงตัน และ เจฟฟเฟอร์สัน ลายมือของลินคอล์นจึงคล้ายกับคนทั่งสอง จึงถึงขนาดทำให้เพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยมีการศึกษาเดินทางเป็นระยะหลายไมล์มาหาอับราฮัมเพื่อให้เขานั้นเขียนจดหมายไห้

            ลินคอร์นมีความสุขกับการเรียนมากจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงกลับไปศึกษาต่อที่บ้านกระดาษเป็นสิ่งที่หายาก เขาจึงต้องเขียนลงบนไม้จนเต็มไปหมด และเมื่อมันไม่มีพื้นที่เขียนอีกแล้วเขาจะขูดออกและเขียนใหม่ต่อไป

            ต่อมาอีก 5 ปีเขาเข้าโรงเรียนอีกแห่งและเรียนๆ หยุดๆ เนื่อจากขาดแคลน นั้นคือการอวสานแห่งความพยายามที่จะศึกษาเล่าเรียนตามปกติ ซึ่งเมื่อรวมเป็นเวลาทั้งหมดที่เขาไปโรงเรียนไม่เกินกว่าสิบสองเดือน

           หลังจากที่เขาเป็นประธานาธิบดี เขาพูดว่า "เมื่อผมบรรลุนิติภาวะ ผมไม่ค่อยมีความรู้อะไรนัก ผมเพียงแต่อ่านออก เขียนได้ และคูณหารได้เพียงแม่สาม ผมมีความรู้เท่านั้นเอง ผมไม่ได้เข้าโรงเรียนอีกเลยความรู้เพิ่มเติมของผมที่ผมมีอยู่มากมายในเวลานี้ ผมเก็บได้มาจากความจำเป็นบังคับครั้งแล้วครั้งเล่า"

            คนที่เป็นครูของเขาคือคนสัญจรไปมา พวกอวดฉลาด ทั้งๆที่ยังมืดบอด เชื่อเรื่องเวทมนต์หรือโลกแบน แม้กระนั้น ระหว่างวันเวลาอันแร้นแค้นลุ่มๆ ดอนๆ แห่งชีวิต เขามีทุนเดิมในการศึกษาอยู่อย่างหนึ่งซึ่งมีราคามากที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน แม้แต่ผู้ที่ได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัย นั้นคือ มีใจรักที่จะศึกษาหาความรู้และมีความกระหายที่จะเรียน

การที่เขาสามารถอ่านหนังสือได้เปรียบประดุจเขาพาตัวไปสู่โลกใหม่และเต็มไปด้วยสิ่งประหลาดมหัศจรรย์สำหรับเขา โลกซึ่งเขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าจะเป้นเช่นนั้น มันเปลี่ยนแปลงตัวเขา มันขยายขอบเขตแห่งความรู้ของเขาและทำให้เขาเป็นคนที่มีสายตากว้างไกล และนับเป็นเวลาถึง 25 ปีการอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่เขาชอบอย่างหลงใหลอย่างยิ่งในชีวิต แม่เลี้ยงของเขา(ซาราห์ บุช) ได้นำห้องสมุดน้อยๆ ประกอบด้วยหนังสือห้าเล่มมากับเธอ เช่น คัมภีร์ไบเบิล นิทานอีสป รอบินสัน ครูโซ ลินคอร์นเพ่งอ่านหนังสือเหล่านี้อันเป็นสมบัติหาราคาไม่ได้สำหรับเขา เขาอ่านแทบจะไม่ได้หยุดพัก โดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิล และนิทานอีสป เขาวางไว้อยู่ใกล้มือและหยิบมาอ่านซ้ำๆซากๆ ซึ่งจากการอ่านหนังสือสองเล่มนี้บ่อยๆ ช่วยให้เกิดอิทธิพลอย่างมหันต์แก่การใช้สำนวนในการเขียนหนังสือของเขา แบบแผนในการพูดของเขา และวิธีคัดค้านโต้แย้งของเขา

            แต่หนังสือเพียงเท่านี้ยังไม่พอ เขาอยากจะอ่านมากกว่านี้ หากไม่มีเงินที่จะซื้อ เขาจะไปขอยืมหนังสือจากคนทั่วไป ไม่ว่าจะชาวไร่ ทนาย เพื่อนที่เขาเคยไปรับจ้างขุดตอและสับต้นข้าวโพด โดยเฉพาะประวัติของวอชิงตัน เป็นสิ่งที่ลินคอล์นโปรดปรานมาก เขามักอ่านมันจนหลับ และตื่นเช้ามาอ่านใหม่ในรุ่งเช้า แต่ไม่มีเล่มไหนที่มีโยช์นมากเท่ากับเล่มที่ชื่อว่า ความรู้ต่างๆ ของสกอตต์ หนังสือเล่มนี้สอนให้ได้รับความรู้เรื่องการพูดในที่ชุมชน และมีมีตัวอย่างสุนทรพจน์อันลือนามของซิเซโร และเดมอสทีนีส รวมทั้งการพูดของตัวละครสำคัญๆของเชกสเปียร์หลายคนอยู่ด้วย
ด้วยการถือหนังสือความรู้ต่างๆ ของสกอตต์ เปิดไว้ในมือของเขา เขาจะเดินวกไปวนมาภายใต้ต้นไม้ พูดด้วยเสียงเร้าใจจากวาทะของแฮมเล็ตออกคำสั่งแก่ผู้แสดงละคร เมื่อเขาผ่านมาถึงตอนใดซึ่งซอบซึ้งตรึงใจเป็นพิเศษ เขาจะเขียนด้วยชอล์กลงพบแผ่นกระดาน ถ้าเขาไม่มีกระดานที่จะเขียน สุดท้ายเขาจะทำสมุดหยาบๆ เล่มหนึ่งในสมุดเล่มนี้เข้าจะเขียนข้อความที่เขาติดเนื้อต้องใจทุกอย่างลงไป สมุดเล่มนี้ติดตัวเขาอยู่ประจำจนเขาสามารถท่องโคลงกลอนยาวๆ และสุนทรพจน์ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว

            ขณะที่เขาไปทำงานที่ไร่ เขาได้เอาหนังสือติดไปด้วย ตอนม้าหยุดพักทางปลายร่องข้าวโพด เขาจะนั่งลงบนรั้วไม้อันบนและหาความรู้จากหนังสือโดยไม่รอช้า ในตอนเที่ยง แทนจะนั่งลงกินอาหารกลางวันเหมือนอย่างคนอื่นๆในครอบครัว เขาจะถือชิ้นแป้งข้าวโพดทอดด้วยมือข้างหนึ่งและถือหนังสือด้วยมืออีกข้างหนึ่ง นั่งยกขาขึ้นพาดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเท้าอยู่สูงกว่าหัว แล้วปล่อยตนให้เคลิบเคลิ้มไปกับตัวหนังสือ

            อับราฮัมมักจะถือหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ คำตลกคะนองของควิน เป็นหนังสือตลกขบขัน ไปยั่งไร่ และขณะเขานั่งคร่อมบนขอนไม้และอ่านบางตอนดังๆ ท่ามกลางหญ้าและทุ่งเข้าโพดที่เจริญงอกงาม ข้าวสาลีปรากฏสีเหลืองอร่ามงดงาม

            จากเรื่องราวของลินคอล์นเราจะเห็นกันว่า เขานั้นแทบจะไม่ได้ศึกษาจากโรงเรียนเลย มันมาจากความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้และที่สำคัญ คือการอ่าน นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนฉลาดพูด ฉลาดคิด ฉลาดทำ แต่ไม่ใช่เพียงแค่การอ่านแต่มันคือความหลงใหลในการอ่าน ความหลงใหลในความรู้

            ผมเชื่อว่าความหลงใหลเป็นสิ่งงดงาม ไม่ว่าจะหลงใหลในเรื่องใดก็ตาม และความหลงใหลคือพลังที่ซ้อนอยู่ในตัวมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย มันสวยงามที่ได้เห็นคนหลงใหลและทำในสิ่งที่เขารัก ต้นทุนชีวิตที่ต่ำต้อยของลินคอล์น คอยฉุดรั่งชีวิตอันแสนเศร้านี้ไว้ แต่กระนั้นพลังที่ซ้อนอยู่ภายในที่ถูกปลุกโดยประสบการณ์ชีวิตได้กระจายออกมาจากเด็กน้อยผู้นี้จนพุ่งทะยานออกไป เป็นเด็กน้อยที่เมตตาทรงปัญญา ฉลาดในการพูด และเป็นที่รักของผู้คน จนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ทรงอำนาจในอนาคต และก็ยังเป็นคนทีชาวอเมริการักมากที่และรักสุดตลอดไป

"สิ่งที่อยู่ข้างหลังเราและอยู่เบื้องหน้าเรา เทียบไม่ได้เลย กับสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา" 
Ralph Waldo Emerson

ความคิดเห็น