ความสุขคือสิ่งที่ทุก ๆ คนมุ่งหวังปรารถนาที่จะตามหาให้เจอ ซึ่งคนแต่ละคนมีรูปแบบของความสุขที่แตกต่างกันไป เรามักสงสัยถึงชีวิตของคนคนหนึ่งว่าอะไรทำให้เขามีชีวิตที่มีความสุขขนาดนี้ เหตุผลที่เรามักถามคำถามนี้กับตนเอง ก็เพราะว่าเราคิดว่าตนเองไม่มีความสุข ถึงแม้ว่าเราจะมีชีวืตที่มีความพร้อมทางด้านสุขภาพ หรือการเงินอย่างไรก็ตาม
ดังนั้นความสุขจึงเป็นเพียงแค่ในมุมมองเท่านั้น ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าออกมาได้ เช่นมีเงิน 1 ล้านจะมีความสุขเพิ่มขึ้นเท่าใด แต่จะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น เช่นคนที่กำลังเริ่มมีความรัก หรือคนที่พึ่งได้รู้ข่าวถึงการเลื่อนขั้นของตนเอง และความรู้สึกนี้เป็นเพียงความรู้สึกที่อยู่ไม่นาน เหมือนเวลาที่เราได้ของใหม่ อย่างเช่น Iphone รถ คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ เราย่อมมีความสุขอย่างมากในช่วงแรก แต่เมื่อเราเริ่มชินกับสิ่งของเหล่านี้ไปสักพัก ความรู้สึกในด้านบวกที่เรารู้สึกขึ้นมาก็จะเริ่มลดลงไป และเราก็มักต้องการที่จะสิ่งที่มาเติมเต็มความรู้สึกที่ลดลงไปนั้น ให้เต็มอยู่เสมอ จึงเป็นเหตุที่เรามีความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการสำรวจนักศึกษาในมหาวิทยาลัย พบว่า เมื่อนักศึกษาเริ่มต้นมีความสุขไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ตาม พอสองอาทิตย์ต่อมา นักศึกษาดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่จะสนใจแต่เรื่องที่แย่ ๆ ที่เค้าได้รับ สาเหตุก็เพราะงานที่เยอะ หรือได้รับความเครียดจากการที่จะต้องเรียนให้ทันเพื่อนที่เก่ง ๆ หรือแข่งขันกัน
Shawn Achor (อ้างอิงจาก Ted Talk) ได้ศึกษาเรื่องนี้จนพบว่า 90% ของความสุข ขึ้นอยู่กับวิธีที่คนเรามองโลก การประสบความสำเร็จเกี่ยวข้องกับ IQ เพียง 25% แต่อีก 75% ที่เหลือเกี่ยวข้องกับการมองโลกในแง่ดี ความช่วยเหลือจากสังคม และความสามารถในการมองว่าอุปสรรคเป็นเรื่องท้าทาย แทนที่จะเป็นสิ่งที่ขวางความสำเร็จของเราอยู่
สิ่งที่ Shawn Achor ได้กล่าวมานั้นสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนมาตอนแรก เกี่ยวกับ ความสุข การมองโลกในแง่ดีนั้น อาจจะเป็นนามธรรมมากเกินไป และไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างได้โดยง่าย แต่การวางเงื่อนไขความสุขในชีวิตของเราให้ง่ายนั้น สามารถทำได้ เช่น เราพบว่าตนเองมีความสุขเมื่อจะต้องไปเที่ยวต่างประเทศ ได้ Smart Phone เครื่องใหม่ แต่หากเราสามารถกำหนดเงื่อนไข หรือสามารถเข้าใจตนเองได้มากขึ้นว่า "เรื่องง่าย ๆ เรื่องไหนบ้างที่เราจะสามารถมีความสุขได้" เช่น เราอาจจะพึ่งค้นพบว่า เพียงแค่นั่งดู Netflix ก็มีความสุขได้ เล่นเกม ฟังเพลง อ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน นินทาชาวบ้าน ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่เราสามารถทำได้โดยง่าย แต่ถ้าหากเรายังไม่สามารถที่จะทำได้
Shawn Achor จึงได้แนะนำวิธีดี ๆ ที่จะสามารถมีความสุขได้ โดยการปรับความคิดให้สมองเข้าสู่ช่วง Happiness Advantage ได้ดังต่อไปนี้
1. เขียน 3 สิ่งใหม่ ๆ ที่ทำให้เรามีความสุขในทุก ๆ วัน
2. บันทึกสิ่งดี ๆ ของแต่ละวัน
(ในข้อที่ 1 และ 2 จะสามารถทำให้เราค้นพบตนเองได้ว่าตนเองมีความสุขในช่วงเวลาแบบไหน อะไรที่ทำให้มีความสุข เราอาจจะค้นพบเงื่อนไขในการมีความสุขใหม่ ๆ )
3. เขียนชมผู้คนใน Social Networks วันละครั้ง (การชื่นชมคนอื่นจะทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับเราด้วย)
หลังจากนั้นสมองของเราจะเริ่มจดจำสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตก่อนสิ่งแย่ ๆ และทำให้มีสมาธิมากขึ้นอีกด้วย ใช้เวลาเพียงแค่ 3 นาทีต่อวัน และถ้าสามารถทำมันได้นาน 21 วัน เราจะเริ่มมองโลกในแง่บวกมากขึ้น
ดังนั้นแล้ว เราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดตนเองตามคำแนะนำของคุณ Shawn Achor ได้ เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น หากทำอย่างสม่ำเสมอใครจะรู้เราอาจจะสามารถเปลี่ยนวิธีการมองโลกของเราได้ตลอดกาลเลยก็ได้
"คนส่วนมากมีความสุข เท่าที่เขาตั้งใจที่จะมีความสุข" อับราฮัม ลินคอล์น
ดังนั้นความสุขจึงเป็นเพียงแค่ในมุมมองเท่านั้น ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าออกมาได้ เช่นมีเงิน 1 ล้านจะมีความสุขเพิ่มขึ้นเท่าใด แต่จะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น เช่นคนที่กำลังเริ่มมีความรัก หรือคนที่พึ่งได้รู้ข่าวถึงการเลื่อนขั้นของตนเอง และความรู้สึกนี้เป็นเพียงความรู้สึกที่อยู่ไม่นาน เหมือนเวลาที่เราได้ของใหม่ อย่างเช่น Iphone รถ คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ เราย่อมมีความสุขอย่างมากในช่วงแรก แต่เมื่อเราเริ่มชินกับสิ่งของเหล่านี้ไปสักพัก ความรู้สึกในด้านบวกที่เรารู้สึกขึ้นมาก็จะเริ่มลดลงไป และเราก็มักต้องการที่จะสิ่งที่มาเติมเต็มความรู้สึกที่ลดลงไปนั้น ให้เต็มอยู่เสมอ จึงเป็นเหตุที่เรามีความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการสำรวจนักศึกษาในมหาวิทยาลัย พบว่า เมื่อนักศึกษาเริ่มต้นมีความสุขไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ตาม พอสองอาทิตย์ต่อมา นักศึกษาดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่จะสนใจแต่เรื่องที่แย่ ๆ ที่เค้าได้รับ สาเหตุก็เพราะงานที่เยอะ หรือได้รับความเครียดจากการที่จะต้องเรียนให้ทันเพื่อนที่เก่ง ๆ หรือแข่งขันกัน
Shawn Achor (อ้างอิงจาก Ted Talk) ได้ศึกษาเรื่องนี้จนพบว่า 90% ของความสุข ขึ้นอยู่กับวิธีที่คนเรามองโลก การประสบความสำเร็จเกี่ยวข้องกับ IQ เพียง 25% แต่อีก 75% ที่เหลือเกี่ยวข้องกับการมองโลกในแง่ดี ความช่วยเหลือจากสังคม และความสามารถในการมองว่าอุปสรรคเป็นเรื่องท้าทาย แทนที่จะเป็นสิ่งที่ขวางความสำเร็จของเราอยู่สิ่งที่ Shawn Achor ได้กล่าวมานั้นสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนมาตอนแรก เกี่ยวกับ ความสุข การมองโลกในแง่ดีนั้น อาจจะเป็นนามธรรมมากเกินไป และไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างได้โดยง่าย แต่การวางเงื่อนไขความสุขในชีวิตของเราให้ง่ายนั้น สามารถทำได้ เช่น เราพบว่าตนเองมีความสุขเมื่อจะต้องไปเที่ยวต่างประเทศ ได้ Smart Phone เครื่องใหม่ แต่หากเราสามารถกำหนดเงื่อนไข หรือสามารถเข้าใจตนเองได้มากขึ้นว่า "เรื่องง่าย ๆ เรื่องไหนบ้างที่เราจะสามารถมีความสุขได้" เช่น เราอาจจะพึ่งค้นพบว่า เพียงแค่นั่งดู Netflix ก็มีความสุขได้ เล่นเกม ฟังเพลง อ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน นินทาชาวบ้าน ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่เราสามารถทำได้โดยง่าย แต่ถ้าหากเรายังไม่สามารถที่จะทำได้
Shawn Achor จึงได้แนะนำวิธีดี ๆ ที่จะสามารถมีความสุขได้ โดยการปรับความคิดให้สมองเข้าสู่ช่วง Happiness Advantage ได้ดังต่อไปนี้
1. เขียน 3 สิ่งใหม่ ๆ ที่ทำให้เรามีความสุขในทุก ๆ วัน
2. บันทึกสิ่งดี ๆ ของแต่ละวัน
(ในข้อที่ 1 และ 2 จะสามารถทำให้เราค้นพบตนเองได้ว่าตนเองมีความสุขในช่วงเวลาแบบไหน อะไรที่ทำให้มีความสุข เราอาจจะค้นพบเงื่อนไขในการมีความสุขใหม่ ๆ )
3. เขียนชมผู้คนใน Social Networks วันละครั้ง (การชื่นชมคนอื่นจะทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับเราด้วย)
หลังจากนั้นสมองของเราจะเริ่มจดจำสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตก่อนสิ่งแย่ ๆ และทำให้มีสมาธิมากขึ้นอีกด้วย ใช้เวลาเพียงแค่ 3 นาทีต่อวัน และถ้าสามารถทำมันได้นาน 21 วัน เราจะเริ่มมองโลกในแง่บวกมากขึ้น
ดังนั้นแล้ว เราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดตนเองตามคำแนะนำของคุณ Shawn Achor ได้ เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น หากทำอย่างสม่ำเสมอใครจะรู้เราอาจจะสามารถเปลี่ยนวิธีการมองโลกของเราได้ตลอดกาลเลยก็ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น