เราสามารถหลีกหนีออกจากความเป็นจริงได้นานแค่ไหนกัน

ไม่มีอะไรที่ทำให้เราพอใจและมีความสุขได้ยั่งยืน ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

            ในทางจิตวิทยาเรามีการพูดถึงการหลีกหนีความเป็นจริง เราเรียกว่ามันกลไกป้องกันตนเอง (Defense Mechanisms) ทฤษฎีของจิตวิเคราะห์อธิบายไว้ว่า เมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับความไม่สบายใจ หรือที่พวกเราเรียกติดปากกันว่า "ทุกข์" เราจะใช้กลไกฝันกลางวัน (Fantasy) ซึ่งผมมักชอบเรียกว่ากลไกเพ้อฝันหรือจินตนาการ เพื่อหลบหนีออกจากปัจจุบันที่ไม่สบายใจ

            คำถามแรกก็คือกลไกนี้มันเลวร้ายแค่ไหนกัน ผมมองว่ากลไกนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะหลบออกจากอะไรก็ตามที่ทำให้พวกเราหงุดหงิดหรือไม่พอใจ เราจะวิ่งเข้าไปอยู่ใน "จินตนาการ" ที่เป็นพื้นที่ของเราเอง และในหลายครั้งพื้นที่นี้ก็เป็นบ่อเกิดแห่งความก้าวหน้าของโลกใบนี้ 

            สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี ความก้าวหน้า รวมไปถึงแนวคิดที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ล้วนเกิดมาจากบุคคลที่ใช้กลไกนี้เพื่อหลีกหนีปัจจุบันเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง โลกแห่งความคิด โลกที่เป็นของพวกเขาเอง ดังนั้นสำหรับผมแล้วกลไกนี้เป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ดีในตัวมันเอง หากไม่มีกลไกลนี้เราคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่จืดชื้นและคงจะถูกปัจจุบันบดขยี้เข้าสักวันหนึ่งในที่สุด

            คำถามที่สองก็คือกลไกนี้มันสามารถนำพาเราให้หลงเข้าไปได้ไกลแค่ไหนกัน ผมสามารถตอบคำถามนั้นได้อย่างชัดเจนมาก กลไกนี้สามารถพาเราไปได้ไกลสุดขอบฟ้า แทบจะทุกคนไม่ได้ใช้กลไกนี้หลีกหนีความเป็นจริงโดยเจตนา กล่าวคือพวกเขาไม่ได้คิดว่า "ฉันเบื่อที่จะทำงานนี้แล้ว ฉันจะเข้าไปอยู่ในจินตนาการของตัวเอง" คงจะมีน้อยคนที่คิดแบบนี้ใช่มั้ยครับ

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะหลบออกจากอะไรก็ตามที่ทำให้พวกเราหงุดหงิดหรือไม่พอใจ

            กลไกนี้ทำงานโดยอัตโนมัติ แม้เราอาจจะไม่ได้รู้สึกแย่ หรือทุกข์กับปัจจุบันเท่าไหร่นัก แต่ก็มีพื้นที่ที่เราสามารถที่จะมีความสุขหรือพอใจมากกว่านี้อยู่ดี มนุษย์เราพยายามที่จะพาตัวเองไปในจุดที่ดีที่สุดอยู่เสมอ นั้นเป็นเหตุผลที่พวกเราร้องไห้หรือโกรธออกมา เพื่อแสดงให้เราว่าเรากำลังรู้สึก "ไม่โอเค" กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่หากเราไม่สามารถจัดการกับสัญญาณเหล่านี้กระบวนการทางความคิดของเราก็จะรวน ทำให้สารสื่อประสาททำงานผิดปกติ 

และพาเราด่ำดิ่งไปสู่โลก(โรค)แห่งความเศร้า

            บางทีมันก็เหมือนกับภาพยนตร์แฟนตาซีน่าตื่นเต้นที่ยิ่งเราหลงเข้าไปในดินแดนต่างโลกนานแค่ไหน เราก็จะยิ่งออกมายากมากขึ้นเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือหากเราเผชิญหน้ากับความไม่สบายใจ ทุกข์ วิตกกังวล เครียด ฯลฯ แล้วเราใช้กลไกนี้หนีออกจากความเป็นจริงในระยะเวลายาวนานจนเป็นนิสัย เราจะเริ่มสังเกตสิ่งรอบข้างน้อยลง เริ่มใส่ใจคนอื่นน้อยลง จนหลายคนอาจไม่สามารถกู่ตัวเองกลับคืนมาได้ 

            กลไกจินตนาการที่จะพาเราหลีกหนีความเป็นจริงชั่วขณะจึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาสมดุลให้ดี เราใช้มันเพื่อให้เราสบายใจได้ เพื่อให้เราพัก แต่เราไม่สามารถหลงเข้าไปในโลกแห่งนาเนียได้ตลอดไป เพราะชีวิตยังคงดำเนินต่อไป คำแนะนำของผมก็คือ เราจะต้องพยายามฟังสัญญาณของตัวเองให้ดี ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมา มันเป็นเครื่องเตือนใจให้เราต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นข้างหน้าเรา

            สุดท้ายนี้ผมอวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัว และเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น อย่าลืมว่าไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราเสมอ ไม่มีอะไรที่ทำให้เราพอใจและมีความสุขได้ยั่งยืน ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป การเปลี่ยนแปลงดำเนินอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการปรับตัว ใช้ชีวิตในปัจจุบันให้มีความสุข ชีวิตมันไม่ได้เรียกร้องให้เราต้องสร้างความยิ่งใหญ่หรือเหรียญตราเชิดชูอะไรมากมายขนาดนั้น

เพราะเมื่อเราจากโลกนี้ไปไม่มีสิ่งใดที่เราเอามันไปได้

ความคิดเห็น