ความรู้สึกสับสนมึนงง แต่ก็อบอุ่นจากภาพราตรีประดับดาว (The Starry Night)

ชีวิตประกอบไปด้วยความสุขและความทุกข์ มันเป็นสมดุลที่เป็นธรรมชาติเสมอ

            ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนไม่ค่อยเก่งด้านศิลปะสักเท่าไหร่ ทั้งการวาดภาพและระบายสี แต่ผมก็มีความชอบทางด้านศิลป์อยู่บ้าง โดยเฉพาะภาพวาดของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent Van Gogh) หลายภาพไม่ว่าจะเป็น ระเบียงคาเฟ่ยามราตรี (Café Terrace at Night) ราตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรน (Starry Night Over the Rhône) ฝูงกาเหนือทุ่งข้าวสาลี (Wheatfield with Crows) แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพหนึ่งที่ผมชอบอย่างมากเหมือนกับผู้อ่านหลายคนก็คือ ภาพราตรีประดับดาว (The Starry Night)

            ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยถนัดการวิเคราะห์ภาพศิลปะสักเท่าไหร่ แต่ภาพดังกล่าวก็เป็นที่น่าประทับใจทั้งเทคนิควิธีการที่ล้ำในสมัยนั้น การใช้สี การจัดวางองค์ประกอบของภาพ อย่างไรก็ตามเทคนิควิธีการของเขาไม่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น ส่งผลให้ไม่มีใครเข้าใจผลงานของ แวน โกะห์ เขาจึงไม่เป็นที่ยอมรับและไม่สามารถขายภาพได้เลย แต่สุดท้ายหลังจากที่เขาเสียชีวิต ผลงานหลายชิ้นของเขาก็ทำเงินได้หลายล้านดอลล่า แวน โกะห์ ใช้เทคนิคการแต้มจุดสี เป็นการใช้ปื้นสีเล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนผสานตัวกันเป็นรูปเป็นร่างเมื่อมองในระยะไกล และเพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึกของความเคลื่อนไหวแห่งสีสันในภาพ

            ภาพราตรีประดับดาว (The Starry Night) แวน โกะห์ วาดหลังจากที่เขาเผชิญหน้ากับกับความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยทางจิต จนเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่เขาก็ยังวาดภาพทิวทัศน์รอบโรงพยาบาลที่แวดล้อมด้วยต้นมะกอกและต้นสนไซเปรส ภาพวาดราตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรน และ ภาพภาพราตรีประดับดาวก็ถูกวาดขึ้นในช่วงระหว่างนี้ ซึ่งเป็นภาพที่น่าจดจำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะโลกตะวันตก

ความรู้สึกสับสนมึนงง แต่ก็อบอุ่นด้วยแต้มจุดสีที่สร้างอารมณ์ความรู้สึกของความเคลื่อนไหว

            สำหรับผม ภาพราตรีประดับดาว เต็มไปด้วยความเศร้าหมองไม่ว่าจะเป็นจากสีสันที่ชวนหม่นหมองผสมผสานกับเทคนิคของแวน โกะห์ทำให้สร้างอารมณ์ความรู้สึกเศร้าได้เด่นชัดอย่างมาก หากพิจารณาจากภาพจะเห็นว่าท้องฟ้าดูขมุกขมัว สับสน วุ่นวาย มึนงง อึดอัด ความรู้สึกคล้ายเมื่อหลงทางจนไม่สามารถหาทางออกได้ อีกทั้งยังผสมผสานกับต้นไซเปรส ที่รูปทรงไม่ต่างกับเปลวไฟสีดำ ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวด ความรุนแรง ความทุกข์ องค์ประกอบทั้งหมดชวนให้น่าอึดอัดเมื่อมองแบบผ่าน ๆ 

            แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะบ้านเรือนที่ดูเงียบสงบ แสงจากดวงจันทร์และดวงดาวบนฟากฟ้าที่อบอุ่นทำให้สร้างความสมดุลที่น่าประทับใจอย่างมาก ผมเชื่อว่าแวน โกะห์รู้สึกทุกข์ทรมานกับชีวิตอย่างแน่นอนขณะที่เขากำลังวาดภาพนี้ เพราะมันเป็นภาพวาดท้าย ๆ ในช่วงชีวิตของเขาแล้วแหละ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภาพนี้ก็ชวนให้รู้สึกเงียบสงบและอบอุ่นอย่างมาก อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ว่ามันเป็นความสมดุลที่ลงตัวระหว่างความสับสนมึนงงและความอบอุ่น ความทุกข์และความสุข ความมืดและแสงสว่าง

            ความสองขั่วนี้พบได้จากชีวิตของมนุษย์ทุกคน เพราะหากพวกเราลองมองชีวิตตัวเองดูจะพบว่ามันไม่ใช่ชีวิตที่ทุกข์ไปเสียหมดทุกขณะ และก็ไม่ได้สุขไปหมดทุกขณะเช่นเดียวกัน ชีวิตประกอบไปด้วยความสุขและความทุกข์ มันหลอมรวมกันอย่างสมดุลเป็นสมดุล สิ่งนี้เป็นธรรมชาติที่อยู่ในทุก ๆ ที่ กล่าวคือ ธรรมชาติของชีวิตคือการผสมผสานระหว่างความทุกข์ที่เป็นความรู้สึกไม่สบายใจ และความสุขที่เป็นความพึงพอใจหรือความสมหวัง 

            สมดุลนี้จะทำงานไปชั่วชีวิต หากใครที่กำลังรู้สึกทุกข์ รู้สึกเครียด วิตกกังวล กลัว ไม่สบายใจ ก็ขอให้จดจำเอาไว้ว่า มันเป็น "เรื่องธรรมชาติ" และหากใครที่กำลังมีความสุขอย่างมากล้นก็ขอให้รู้ว่า "ความสุขนั้นมันคงอยู่ได้ไม่นาน" เพราะมันจะจางหายอย่างแน่นอน สิ่งนี้เป็นธรรมชาติที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นสมดุลที่คงเส้นคงวาเสมอ เหมือนกับภาพวาด ภาพราตรีประดับดาว (The Starry Night) ของ แวน โกะห์ 

ที่เต็มไปด้วยความสับวน มึนงง และความเงียบสงบอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ

ความคิดเห็น