เมื่อเรารู้สึกว่าชีวิตกำลังไปได้สวย ก็มักจะโดนชีวิตเตะล้มลงทุกครั้งไป

"ไม่มีต้นไม้ต้นใดมีรากที่หยั่งลึกและมั่นคงหากไม่เคยพานพบกับพายุที่โถมเข้าใส่"

            ผมมักจะเปรียบเปรยความเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนกับเกลียวคลื่นอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่คงอยู่เสมอไป เหมือนกับคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งและกลับลงสู่ทะเล ทุก ๆ อย่างในชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้น ความสุขและความทุกข์ไม่ได้อยู่อย่างถาวร มันเข้ามาและออกไปสลับไปมา ชีวิตจึงประกอบไปด้วยสมดุลแห่งทุกข์และสุข

            นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อเรารู้สึกว่าชีวิตกำลังไปได้สวย ก็มักจะโดนชีวิตเตะล้มลงทุกครั้งไป ไม่มีทางที่เราจะรู้สึกมีความสุขเสมอไป อย่างไรก็ตามผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทุกข์รุนแรง ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า แม้ผมจะบอกว่าสมดุลของชีวิตประกอบด้วยทุกข์และสุข แต่ก็ไม่จำเป็นว่าความทุกข์นั้นจะต้องเลวร้ายเหมือนกับที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

            สังคมประกอบไปด้วยผู้คน และผู้คนเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยสัญชาตญาณที่โดยพื้นฐานแล้วไม่ค่อยจะน่าคบหาสักเท่าไหร่ แต่พวกเราสามารถเก็บมันเอาไว้ได้ แล้วเลือกแสดงออกในสิ่งที่เราคิดว่า "มันถูกต้อง" ถ้าเรามีจิตใจที่ดี และมีสติที่มากพอ เราก็จะแสดงออกอย่างเป็นมิตร ถ่อมตัว และน่าคบหา ในทางกลับกันหากเราไม่มีสติมากพอ เราก็จะแสดงสัญชาตญาณที่อยากจะเป็นคนสำคัญที่สุด ตัวเองถูกต้องเสมอ และมีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด ฯลฯ ออกมา

            ยิ่งสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำมันก็ยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนปีนบันไดให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเราไม่อยากไปอยู่ด้านล่าง เราไม่อยากอยู่ต่ำกว่าเพื่อนเรา ญาติเรา หรือศัตรูของเรา สิ่งนี้ทำให้เราเคารพผู้ที่อยู่สูงกว่าเรา และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ตัวเองไปอยู่จุดนั้นด้วย นั่นแหละหนึ่งในเพียงเสี้ยวของหายนะแห่งความเหลื่อมล้ำที่โลกในตอนนี้และโดยเฉพาะประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่

            ความเหลื่อมล้ำเป็นปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นพฤติกรรมนุษย์มากกว่าที่เราคิด แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายมหาศาล ที่กระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าคบหา เช่น พยายามจะแข่งขันบ้าง อวดอ้างตัวเองบ้าง คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นบ้าง กดหัวคนอื่นบ้าง ส่วนคนที่มีสติอยู่เสมอ เลือกที่จะยับยั้งตัวเองได้ คิดใคร่ครวญกับทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องรู้สึกเศร้ากับทั้งตัวเองและสิ่งที่ผู้คนรอบข้างกระทำกับเขา แม้บางครั้งในสายตาคนอื่นสิ่งที่คนบางคนโดนอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่สำหรับตัวเขามันไม่เล็กหรอกครับ มันไม่เคยจะเล็กเลยด้วยซ้ำไป

แม้ในสายตาคนอื่นสิ่งที่คนบางคนโดนอาจจะเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับตัวเขามันไม่เคยจะเล็กเลย

            ความเศร้า ความเครียด ความวิตกกังวล ความไม่สบายใจ ที่เราเรียกรวม ๆ กันว่าเป็น "ความทุกข์" ถึงได้มักเกิดขึ้นอยู่เสมอ และยิ่งเราเก็บมันมาคิดมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นในห้วงความคิดของเรามากขึ้นเท่านั้น ความผิดพลาด ความรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ความล้มเหลว ความอับอาย ความเศร้า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปั่นเป็นสมูทตี้ที่รสชาติขมปี๋ราวกับบอระเพ็ดเหลวหนึ่งแกลลอน

            แทบจะทุกคนในโลกรู้เสมอว่า "เราไม่ควรจะเก็บทุกเรื่องใส่ใจ" "อย่าเก็บมาคิดทุกเรื่อง" "จะไปคิดถึงมันทำไม" แต่ทุกคนที่พูดแบบนี้ก็คิดแบบเดียวกับที่เขาตั้งคำถามแทบจะทั้งนั้นแหละครับ ประเด็นมันจึงไม่ใช่เพราะอะไรถึงเก็บเอามาคิด ประเด็นอยู่ที่ "ต่อให้เราเก็บมาคิดแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป" เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเข้มแข็งขึ้น เป็นคำถามที่ผมมักจะตั้งอยู่เสมอ

            ในหนังสือ The Little Book of Stoicism: Timeless Wisdom to Gain Resilience, Confidence, and Calmness ผู้เขียน โยนัส ซัลซ์เกเบอร์ (Jonas Salzgeber) ได้กล่าวคำพูดของ เซเนกา (Seneca) นักปรัชญาโรมันชื่อดัง เขากล่าวว่า "ไม่มีต้นไม้ต้นใดมีรากที่หยั่งลึกและมั่นคงหากไม่เคยพานพบกับพายุที่โถมเข้าใส่ การสั่นคลอนและฉุดกระชากนี้เองที่ทำให้ต้นไม้ต้องยึดให้มั่นและหยั่งรากลงดินให้แน่นกว่าเดิม" 

            ผมคิดว่าสิ่งที่เซเนกากล่าวไว้ไม่ใช่ถ้อยความที่เอาไว้ปลอบประโลมจิตใจเลย แต่มันเป็นความเป็นจริง เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของต้นไม้ที่จะต้องพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป มันจึงหยั่งรากลงดินให้แน่นที่สุด อย่างไรก็ตามต้นไม้หลายต้นก็ล้มลงจากพายุเช่นเดียวกัน จึงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ชีวิตที่มักจะเตะเราล้มลงไปทีก็เตะแรงเกินไปจนหลายครั้งเรารับมันไม่ไหวอีกต่อไป

            สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือต้นไม้ไม่สามารถเห็นรากที่ตนเองหยั่งลงดินฉันใด มนุษย์เราก็ไม่สามารถเห็นพัฒนาการของเราได้อย่างชัดเจนฉันนั้น เราไม่สามารถรับรู้ได้ชัดเจนว่าเราก้าวหน้าหรือเข้มแข็งมากแค่ไหน สิ่งนี้อาจจะเป็นกุญแจแห่งการอยู่รอดโดยไม่ทุกข์ตายไปเสียก่อนของเรา "การรับรู้ความก้าวหน้าของตนเอง" ลองคิดดูสิครับหากเรารู้ว่าเรามีวินัยมากขึ้น อดทนได้มากขึ้น ถ่อมตนมากขึ้น หรือเข้มแข็งมากขึ้น มันจะวิเศษแค่ไหน

            สิ่งนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของ เซเนกา ที่เขาอธิบายว่า "สายฝนกระหน่ำหนักหน่วงและลมแรงล้วนเป็นเพื่อประโยชน์แก่คนที่ดีงาม มันคือวิธีที่พวกเขาบ่มเพราะความนิ่งสงบ วินัย ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเข้มแข็ง" แม้มันจะยากในการตระหนักรู้ความก้าวหน้าเพื่อที่เมื่อเราล้มลงสักกี่ครั้งเราก็จะสามารถลุกได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สุดท้ายผมอยากจะทิ้งคำถามของ เซเนกา ที่ถามว่า

"แล้วทำไมท่านจึงยังแปลกใจที่คนดี ๆ ต้องถูกสั่นคลอนเพื่อที่พวกเขาจะได้เติบโตอย่างเข้มแข็งขึ้นด้วยล่ะ"

อ้างอิง

Salzgeber, J. (2019). The Little Book of Stoicism: Timeless Wisdom to Gain Resilience, Confidence, and Calmness. https://www.njlifehacks.com/

ความคิดเห็น