ความจริงแล้ว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ไม่ได้เก่งอย่างที่ใครคิดกัน

บรรณธิการนิตยสารคนหนึ่งเรียกเขาว่า "คนโง่ที่น่าสมเพช" และประเมินพรรคของเข่าว่า "สมาคมไร้ความสามารถ"

            ตลอดประวัติการทำสงครามของมนุษย์ สงครามโลกครั้งที่สองมีความเสียหายมากที่สุด ทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากที่สุด และความเสียหายทางด้านจิตใจที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน จากการพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) และนาซีเยอรมัน ซึ่งสุดท้ายฝ่ายสัมพันธมิตรก็ชนะและสามารถช่วยเหลือชาวยิวจำนวนมากได้

            อันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) นักปรัชญาชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่อพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาเล่าว่า "นาซีจำนวนมหาศาลยินดีที่จะทุบตีชาวยิวให้ตายคาถนน หากชาวยิวคนนั้นไม่กล่าวทักทายด้วยวลี ไฮล์ ฮิตเลอร์" ไม่เพียงแค่นั้นพวกนาซียังได้สร้างค่ายกักกันชาวยิวจำนวนมากที่มีการกระทำต่อชาวยิวที่โหดร้าย

            อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จึงเป็นหนึ่งในบุคคลที่เลวร้ายที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ระบุว่า ฮิตเลอร์มีความสามารถ หรือเรียกว่า "เก่ง" มากในการวางแผน การรบ และการจูงใจคน จนทำให้ผู้คนจำนวนมากเชื่อเช่นนั้น แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด ฮิตเลอร์ไม่ได้เป็นคนที่เก่งขนาดนั้น จริง ๆ แล้วต้องกล่าวว่าเขาเป็นคน "ไม่เอาไหน" ด้วยซ้ำ

            อันดับแรกการที่เราจะเข้าใจสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียก่อน ซึ่งผู้อ่านทุกท่านคงทราบกันดีว่าเยอรมันพ่ายแพ้สงครามและต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามมหาศาลจนประชาชนในประเทศประสบกับความยากจน ฮิตเลอร์ซึ่งเป็นทหารในขณะนั้นตั้งคำถามกับความพ่ายแพ้และความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยึดอำนาจมาเป็นของตนเอง

            แต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะบรรดาชนชั้นสูงของเยอรมันประเมินฮิตเลอร์ต่ำเตี้ยมาตลอด ก่อนก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี คู่แข่งหลายคนมองเขาเป็นเพียงตัวตลกที่กล่าวสุนทรพจน์อันไร้ความสละสลวย และจัดการชุมชนได้อย่างไร้รสนิยมอย่างมาก จนถึงขนาดที่บรรณธิการนิตยสารคนหนึ่งเรียกเขาว่า "คนโง่ที่น่าสมเพช" และประเมินพรรคของเข่าว่า "สมาคมไร้ความสามารถ" และยังบอกกับประชาชนอีกว่าไม่ควร "ประเมินพรรคละครสัตว์นี่สูงเกินไป"

            แต่เหตุผลที่ประชาชนจำนวนมากยอมรับพรรคนาซีก็เพราะว่า ฮิตเลอร์ก้าวขึ้นมาและพูดในสิ่งเดียวกับที่ประชาชนคิดกัน ว่าเยอรมันไม่ควรจะพ่ายแพ้ ไม่ควรจะจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามมหาศาล เยอรมันควรเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ และกล่าวโทษชาวยิวว่าเป็นสาเหตุของความพ่ายแพ้ในสงคราม ซึ่งทำให้ชาวเยอรมันที่กล่าวโทษชาวยิวอยู่แล้วยิ่งเห็นด้วยเข้าไปใหญ่ บวกกับความสามารถในการพูดที่น่าเป็นข้อเด่นเพียงข้อเดียวของเขา

ฮิตเลอร์ไม่ได้เป็นคนที่เก่งขนาดนั้น จริง ๆ แล้วต้องกล่าวว่าเขาเป็นคน "ไม่เอาไหน" ด้วยซ้ำ

            นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ประชาชนจำนวนหนึ่งสนับสนุนฮิตเลอร์ จนทำให้สุดท้ายพรรคนาซีครองที่นั่งมากที่สุดในรัฐสภาเยอรมันหลังการเลือกตั้ง แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนในสภามองว่าฮิตเลอร์เป็นเพียงเป้าที่ถล่มได้ง่ายดาย เป็นเจ้าโง่ชอบคุยโวโอ้อวดที่คนฉลาดควบคุมได้ไม่ยาก ฟรานซ์ ฟอน พาเพิน (Franz von Papen) นายกรัฐมนตรีเยอรมันที่เพิ่งถูกปลดและพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อทวงอำนาจคืนคิดว่าตนสามารถใช้ฮิตเลอร์เป็นหมากได้

            เขาจึงจัดการเจรจาเพื่อตั้งรัฐบาลผสมกับเขา หลังจากตกลงกันได้ในเดือนมกราคมปี 1933 โดยให้ฮิตเลอร์เป็นนกยกรัฐมนตรี ส่วนฟอนพาเพินเป็นรองนายกฯพร้อมคณะรัฐมนตรีที่เป็นพันธมิตรกลุ่มอนุรักษนิยมของพาเพิน เหตุผลที่พาเพินยอมเช่นนั้นเนื่องจาก พาเพินมีความเห็นว่าฮิตเลอร์จะต้องจนมุม และจะต้องยอมถอยลงมาจากอำนาจอย่างแน่นอน

            แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นเช่นนั้น ฮิตเลอร์สามารถกุมอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการโน้มน้าวให้รัฐสภาผ่านกฎหมายมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ แบบไม่แคร์รัฐธรรมนูญ ประธานาธิบดี หรือแม้แต่รัฐสภาเอง จู่ ๆ ทำให้สิ่งที่เคยเป็นประชาธิปไตรก็ไม่เป็นประชาธิปไตรอีกต่อไป กล่าวคือ ทุกคนประเมินฮิตเลอร์ต่ำเกินไป

            คำถามที่น่าสนใจก็คือ "เพราะอะไรฮิตเลอร์จึงถูกประเมินเอาไว้ต่ำเกินไป" ชนิดที่ว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แน่นอนคนอย่างฮิตเลอร์ไม่ใช่บุคลิกแบบเสือซ้อนเล็บ เขาเป็นพวกประกาศแบบตรงไปตรงมาอยู่เสมอ จึงทำให้ ทอม ฟิลลิปส์ (Tom Phillips) ผู้เขียนหนังสือ Humans: A Brief History of How We F*cked It All Up ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า "บางทีพวกเขาอาจไม่ได้ประเมินความสามารถของฮิตเลอร์ผิดพลาด เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่ามันไม่อาจขัดขวางความทะเยอทะยานขั้นสุดของฮิตเลอร์ได้"

            กล่าวคือ "แต่ละคนต่างปล่อยไหลไปตามน้ำ" สิ่งที่ปรากฎในเวลาต่อมาก็เป็นไปตามคาด ฮิตเลอร์บริหารประเทศได้ย่ำแย่อย่างมาก ดังที่ออตโต ดีทริช (Otto Dietrich) ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อของเขาเองบรรยายไว้ในหนังสือ The Hitler I Knew ว่า "ตลอด 12 ปีที่ปกครองเยอรมนี ฮิตเลอร์ก่อความวุ่นวายใหญ่หลวงที่สุดต่อระเบียบการปกครองเท่าที่เคยมีมาในประเทศอันศิวิไลซ์"

            เนื่องจากฮิตเลอร์ไม่ชอบอ่านเอกสารและมักตัดสินใจในประเด็นสำคัญโดยไม่อ่านเอกสารที่ผู้ช่วยเตรียมไว้ให้ทั้งสิ้น และแทนที่จะถกเถียงเรื่องนโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาแต่เขากลับด้นสน พูดสะเปะสะปะเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมาในหัว ซึ่งบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาหวาดหวั่นสิ่งนี้อย่างมาก เพราะมันหมายความว่าพวกเขาจะทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้นจนกว่าฮิตเลอร์จะด้นสดแบบไร้สาระจนเสร็จ

            รัฐบาลที่เขาปกครองอยู่ในสภาวะอลหม่านตลอดเวลา บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ฮิตเลอร์ต้องการให้พวกเขาทำอะไรกันแน่ และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าใครต้องดูแลเรื่องไหน เขาชอบผัดวันประกันพรุ่งเมื่อถูกขอให้ตัดสินใจเรื่องยาก ๆ และมักลงเอยด้วยการอาศัยความรู้สึก สิ่งนี้ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือของ แอ็นสท์ ฮานฟ์ชเตนเงิล (Ernst Hanfstaengl) คนสนิทของเขา 

            โดยฮานฟ์ชเตนเงิลได้เล่าว่า "ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของฮิตเลอร์ทำให้คนที่ต้องทำงานกับเขานั่งทึ้งผมตัวเอง" ดังนั้น แทนที่จะได้อุทิศตนเพื่อปฏิบัติภารกิจระดับประเทศ พวกเขากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการขับเคี่ยวและแทงข้างหลังกันและกันเพราะหวังจะได้รับความเห็นชอบจากฮิตเลอร์ หรือไม่ก็หลบให้พ้นสายตาของเขาไปเลย ขึ้นอยู่กับตอนนั้นฮิตเลอร์จะมีอารมณ์แบบไหน

            ฮิตเลอร์หมกมุ่นอยู่กับคนดังและสื่อ เขาบอกว่าตัวเองคือ "นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป" และเขียนบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า "ข้าเชื่อว่าชีวิตของข้าคือนิยายเรื่องเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์โลก" นอกจากนั้นเขายังมีนิสัยที่ไม่รู้จักโตอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตน งีบหลับกลางวัน กัดเล็บมือที่โต๊ะอาหาร ติดน้ำตาลอย่างมาก และตื่นสายโดยไม่ยอมออกจากห้องนอนก่อนบ่ายสอง

            นั่นอาจจะเป็นข้อมูลทั่ว ๆ ไปที่ใคร ๆ ก็อาจจะเป็นกัน แต่ลึกลงไปแล้วฮิตเลอร์ไม่มั่นใจอย่างยิ่งที่ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีความรู้ เขามักมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อของเขา ไม่ก็โจมตีความสามารถของผู้อื่นอย่างเดือดดาล โดยเฉพาะเมื่อมีคนมาแก้ไขสิ่งที่เขาพูดหรือได้ยินข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับใจของเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าขัดเมื่อฮิตเลอร์ด้นสดแบบไร้สาระ

            ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ความลับอะไร ที่ปรึกษาแทบทุกคนของเขาล่วงรู้กันทั้งนั้น แต่ทุกคนต่างปล่อยไหลไปตามน้ำจนกระทั่งสายเกินการ ทุกคนเอาแต่มองว่าเขาเป็น "คนพาลสติวิปลาส" หรือ "ชายที่พูดจาเหมือนคนเมา" ฮิตเลอร์ใช้สัญชาตญาณเหนือธรรมชาติมากกว่าเหตุผล และอาศัยการรังสรรค์วาทศิลป์ทางการเมืองประกอบกับการใช้โฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่องจนได้รับเสียงสนับสนุนจากมวลชนเท่านั้น 

            เหตุการณ์เลวร้ายของฮิตเลอร์จึงไม่ได้เกิดมาจากน้ำมือปีศาจอัจฉริยะ นักวางแผนผู้เก่งกาจ แต่จริง ๆ แล้วกลายเป็นคนสมองทึบวิกลจริตที่ทำอะไรวู่วามอย่างขาดสติและการใช้เหตุผล โดยเฉพาะในปี 1941 เมื่อกองทัพเยอรมันกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการรุกข้ามช่องแคบเพื่อรุกรานสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เขาตัดสินใจรุกรานสหภาพโซเวียต แม้ขณะนั้นฮิตเลอร์จะลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกันกับโซเวียตอยู่แล้วก็ตาม

            หลายคนอาจคิดว่าฮิตเลอร์ไม่ได้ศึกษาความพ่ายแพ้ของนโปเลียนในครั้งที่รุกรานรัสเซียเลยหรือ แต่จริง ๆ แล้วเขาเคยศึกษาและมองว่าเขามีแผนการปราดเปรื่องกว่าที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเดียวกันได้ เขาคิดว่าแทนที่จะส่งกองกำลังตรงดิ่งไปที่มอสโก ฮิตเลอร์จัดแบ่งกองกำลังเป็นสามส่วน เข้าโจมตีเลนินกราด เคียฟ และเมืองของโซเวียตแทน

            กระทั่งเมื่อฤดูหนาวเริ่มมาฮิตเลอร์ก็ปฏิเสธการล่อถอยโดยทันที ไม่ต่างกับนโปเลียนที่ยืนหยัดสู้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นทางเลือกหายนะ สิ่งที่ฮิตเลอร์ไม่รู้คือแม้ยุทธวิธีจะต่างออกไป แต่แผนการโดยพื้นฐานก็ไม่ต่างกับนโปเลียนเลย นั่นคือการใช้กองทัพใหญ่จู่โจมอย่างฉับไวและเด็ดขาด นอกจากนั้นหลายคนในกองบัญชาการสูงสุดของนาซีไม่เห็นด้วยกับการบุกโจมตีในครั้งนั้น

            แม้จะไม่ได้รับการเห็นด้วยมากเท่าที่ควรจากคณะที่ปรึกษา แต่สุดท้ายนาซีก็ยังบุกโจมตีอยู่ดี เพราะทันทีที่ฮิตเลอร์รู้สึกถึงกระแสความไม่เห็นด้วยหรือความกังขา เขาจะซุกแผนของตนไว้จากคนเหล่านั้น หรือไม่ก็โกหกอีกฝ่ายซึ่งแสดงถึงการตัดสินใจที่แย่ ความยโสโอหังเท่า ๆ กับความเพ้อพกและการทึกทักเอาเองโดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น

            สรุปก็คือยุทธวิธีนี้มีข้อผิดพลาดแบบเดียวกับนโปเลียนและผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่แตกต่างกัน โซเวียตเผาพืชพรรณ ตรึงให้ฝ่ายเยอรมันติดแหง็กอยู่จนถึงฤดูหนาว ฝ่ายเยอรมันจึงตระหนักว่าฝ่ายตนไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม ขาดแคลนเสบียง รถถังก็ไม่มีระบบต้านความเย็นจนเยือกแข็ง คำสั่งของฮิตเลอร์ที่ให้ยืนหยัดสู้ต่อไปท่ามกลางความเหน็บหนาวแทนที่จะล่าถอย เป็นการคร่าชีวิตทหารของเขาอย่างมหาศาลมากกว่าครั้งนโปเลียนเสียอีก

            แผนนี้ทำให้สงครามพลิกผันผนวกกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรของเยอรมนีก็ง่วนอยู่กับการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน จนลากมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงคราม จนสุดท้ายทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนีก็พบกับความพ่ายแพ้ และฮิตเลอร์ก็ต้องจบชีวิตด้วยกระสุนของตัวเอง 

พร้อมกับถูกตราหน้าไปตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติว่า "ผู้ก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์"

อ้างอิง

Phillips, T. (2019). Humans: A Brief History of How We F*cked It All Up. NY: Hanover Square Press.

Warburton, N. (2012). A Little History of Philosophy. CT: Yale University Press.

ความคิดเห็น