กลิ่นน้ำหอมที่เหมือนกับคนที่เราไม่ชอบ กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงได้อย่างไร

การที่เราสามารถค้นหาจุดเชื่อมโยงจนเจอและยอมรับมันได้ก็จะสามารถปลดปล่อยตัวเองจากปมเหล่านั้นได้ในที่สุด

            สมองของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่าพิศวงมากที่สุด แม้เหตุการณ์ในอดีตที่เราลืมเลือนหรือไม่ใส่ใจกับมันมานานแสนนานแล้ว แต่สมองของเราก็บันทึกและจดจำ ไม่เพียงแค่นั้นมันยังเชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จึงไม่แปลกที่หลายคนบนโลกใบนี้จะมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป เพราะพวกเราแต่ละคนมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน

            ยกตัวอย่างเช่น ความกลัว บุคลคนบางคนมีความกลัวอะไรที่ประหลาด โดยที่เขาไม่รู้ตัว บ้างก็กลัวที่แคบ กลัวความสูง หรือแม้แต่กลัวผลไม้ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ความกลัวเหล่านี้เราเรียกว่า โรคกลัว (Phobia) คือการมีอาการผิดปกติเมื่อเจอกับสิ่งที่กลัว เช่น กล้ามเนื้อตึงตัว ปวดศีรษะ ใจสั่น หายใจไม่ทัน ซึ่งความกลัวเหล่านี้เกิดมาจากการเชื่อมโยงประสบการณ์ในอดีต 

            ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าการเชื่อมโยงประการณ์ทุกอย่างจะเป็นความกลัวไปเสียหมด แต่อาจจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ก็ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เราเคยโดนพ่อแม่ทำร้ายมาตั้งแต่เด็ก ส่งผลให้เราเกลียดความรุนแรงทุกชนิดเมื่อเราเติบโตขึ้น แต่ในบางก็กรณีเมื่อเราเติบโตขึ้นก็อาจจะใช้ความรุนแรงกับคนที่กระทำความรุนแรงกับคนอื่นก็ได้เช่นกัน

            ดังนั้นการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจก็จะทำให้เราขาดความสามารถในการควบคุมอยู่ตลอดเวลาในขณะที่กำลังเชื่อมโยงประสบการณ์ระหว่างปัจจุบันและอดีต ถ้าเด็กคนหนึ่งเห็นแม่ของเขาถูกแฟนใหม่กระทำทารุณซ้ำ ๆ ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ทางอารมณ์ หรือทางวาจา หรือตัวเด็กเองถูกระทำทารุณโดยตรง สมองของพวกเขาก็จะสร้างความเชื่อมโยงระหว่างลักษณะของบุคคลที่กระทำกับภัยคุกคาม 

            ความเชื่อมโยงเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์และการตีความความสัมพันธ์นั้นเมื่อเขาเติบโตขึ้น ในหนังสือ What Happened to You?: Conversations on Trauma, Resilience, and Healing นายแพทย์บรูซ เพอร์รี่ (Bruce Perry, M.D., Ph.D) ได้เล่าถึง เด็กคนหนึ่งอายุสิบสี่ปีชื่อแซมูเอล ตอนเขาเจ็ดขวบหน่วยกิจการคุ้มครองเด็กได้พาเข้าและน้อง ๆ อีกสี่คนออกจากบ้านมา ที่บ้านหลังนั้นพวกเขาทั้งหมดถูกปล่อยปละละเลย และแซมูเอลต้องคอยดูแลปกป้องน้อง ๆ ในเวลาที่พ่อของเขาเมา แซมจึงตกเป็นเป้าของการระเบิดโทษะที่รุนแรงที่สุดของพ่อมากที่สุด

ถ้าเด็กคนหนึ่งเห็นแม่ของเขาถูกทารุณ สมองของพวกเขาก็จะสร้างความเชื่อมโยงระหว่างลักษณะของบุคคลที่กระทำกับภัยคุกคาม 

            สามปีต่อมาแซมก้าวหน้าขึ้นมาก ทักษะการเข้าสังคมของเขาดีขึ้น เขาควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเมื่อเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจหรือผิดหวัง เขารู้สึกมีความหวังมากขึ้น และมองเห็นอนาคตของตัวเอง ครูคนใหม่ของแซมเป็นคนไฟแรง เป็นที่รักของนักเรียน เป็นผู้ชายที่มีประสบการณ์ ซึ่งในช่วงสัปดาห์แรกของชั้นเรียนใหม่ แซมระเบิดอารมณ์ออกมาสามครั้งใหญ่ ๆ โดยมีสองครั้งที่ระเบิดใส่ครูคนนี้

            เขาก้าวร้าวและรุนแรงมากจนต้องมัดเอาไว้ เรื่องนี้เป็นอุปสรรคต่อการบำบัดรักษาอย่างยิ่ง และเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติอย่างมากสำหรับแซม โชคร้ายที่มันยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนเจ้าหน้าที่ต่างก็สับสนและท้อใจ ส่วนแซมนั้นก็ปิดปากเงียบและละอายใจ จะเห็นว่าแซมไม่ได้เจตนาที่จะแสดงพฤติกรรมรุนแรงออกมา เพราะเขาก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนั่น 

            นายแพทย์เพอร์รี่ได้เข้าไปคุยกับครูคนนั้นเพื่อทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ไม่พบว่าอะไรเป็นเหตุที่ไปกระตุ้นให้แซมแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ออกมา แม้ว่าเขาจะเข้าสังเกตในชั้นเรียนแล้ว ก็ไม่พบว่าครูคนนั้นแสดงพฤติกรรมยั่วยุ หรือจะมีพฤติกรรมใดที่กระตุ้นแซมออกมาเลย แต่สิ่งที่พบก็คือแซมดูกระวนกระวายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดคุยกับเขา หรือตอนที่เขาพยายามเข้าไปช่วยแซมทำการบ้าน

            ความใกล้ชิดของครูคนนี้กับแซมเป็นตัวกระตุ้นเพียงหนึ่งเดียวเท่าที่นายแพทย์เพอร์รี่สักเกตเห็น ดังนั้นครูคนนี้จึงเริ่มค่อย ๆ หลีกเลี่ยงที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับแซม เขาไม่สบตา ไม่พูดให้กำลังใจ ไม่ยิ้มให้ ครูเริ่มถอยห่างทางอารมณ์และกายภาพทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งแซมก็เข้าใจว่าครูคนนี้เกลียดเขา เพราะเขาทำอะไรก็ไม่ดีซักอย่าง 

            จนกระทั่งพ่อของแซมกำลังจะมาเยี่ยม และขณะนั้นไม่มีคนคอยเฝ้าพอดี นายแพทย์เพอร์รี่จึงอาสาจะไปเฝ้าเอง ในระหว่างการเยี่ยมพ่อของเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับแซม เขามาสายและทักทายกันอย่างน่าอึดอัด พวกเขาเล่นหมากฮอสไปด้วยกันตลอดสิบนาที ซึ่งมีคำพูดประมาณสิบคำเท่านั้นที่หลุดออกมา ทั้งสองแทบไม่มองหน้ากันเลย จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด

            ขณะที่นายแพทย์เพอร์รี่สังเกตการณ์ เขาพบว่ากลิ่นน้ำหอมโอลด์สไปซ์ลอยอบอวลอยู่ในห้อง เขาจึงเดินเข้าไปที่โต๊ะและชะโงกหน้าตรงกลางระหว่างแซมและพ่อของเขา "เล่นกันไปถึงไหนแล้วครับ" เพอร์รี่ถาม พ่อของแซมตอบว่า "เขาชนะ" ขณะนั้นนายแพทย์เพอร์รี่ได้กลิ่นเหล้าโชยมาจากลมหายใจของเขา และกลิ่นน้ำหอมโอลด์สไปซ์ที่เขาใช้พรมตัวเองก็เพื่อกลบกลิ่นเหล้า เนื่องจากเขาควรมาเยี่ยมแซมโดยที่ไม่เมา

            หลังจากจบการเข้าเยี่ยมนายแพทย์เพอร์รี่ก็เดินไปหาครูคนนั้นและถามเขาว่า "นี่อาจฟังดูแปลกหน่อยนะครับ แต่คุณใช้น้ำหอมระงับกลิ้นกายยี่ห้ออะไร" คุณครูตอบว่า "โอลด์สไปซ์ ทำไมหรอ" นายแพทย์เพอร์รี่จึงอธิบายเกี่ยวกับความทรงจำที่เลวร้าย ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำที่เลวร้ายเหล่านั้นอาจจะเป็นตัวกระตุ้นได้

            คุณครูคนนั้นจึงยอมเปลี่ยนน้ำยาระงับกลิ่นเป็นแบบไม่มีกลิ่น หลังจากนั้นนายแพทย์เพอร์รี่ได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้แซมฟัง เพราะอะไรเขาจึงไม่สบายใจและโกรธครูคนนั้น โดยอธิบายด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับที่อธิบายให้ครูคนนั้นฟัง ซึ่งแซมรับฟังและพบว่ามันสมเหตุสมผลสำหรับเขา นอกจากนั้นแซมยังพบว่ามีจุดเชื่อมโยงแบบนี้อยู่หลายจุด เช่น เวลามีคนระเบิดอารมณ์ เขาจะอยากวิ่งไปซ่อนตัว หรือเมื่อคนตัวใหญ่แกล้งคนตัวเล็ก เขาจะอยากวิ่งไปจัดการมัน 

            สุดท้ายแซมกับครูคนนั้นก็ปรับความเข้าใจกัน และให้โอกาสต่อกันและกัน ตลอดหนึ่งปีหลังจากนั้นมา ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เติบโตแข็งแรง ส่งผลให้แซมได้เป็นนักเรียนตัวอย่างของชั้นเรียนนั้น ซึ่งเรื่องราวนี้แสดงให้เห็นชัดเจนถึงวิธีที่สมองของเราจัดเก็บความทรงจำ แซมมีประสบการณ์ในช่วงต้นของชีวิตที่สมองของเขาสร้างความทรงจำเชื่อมโยงกับน้ำหอมกลิ่นโอลด์สไปซ์ ความคิดเชื่อมโยงนี้ดึงเอาความทุกข์ใจและความหวาดกลัวขึ้นมา 

            ในหนังสือ What Happened to You? นายแพทย์เพอรรี่ได้อธิบายว่า "ตลอดเส้นทางชีวิตที่เราดำเนินผ่านมามีเสียง กลิ่น และภาพมากมายนับไม่ถ้วน หรืออาจเป็นเศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย เป็นเพียงแค่ความรู้สึก หรือแค่ความคลับคล้ายคลับคลาหรือเป็นความประทับใจ เมื่อเราพบเจอคนบางคน เราสร้างความรู้สึกประทับใจแรกขึ้นมา ('เขาดูเป็นคนดีจริง ๆ เลยนะเนี่ย') โดบบ่อยครั้งเราไม่ได้มีข้อมูลที่แน่ชัดมาสนับสนุนแต่อย่างใด

            "แต่เพราะลักษณะของบุคคลนั้นกระตุ้นบางสิ่งบางอย่างที่เราเคยจัดหมวดหมู่ให้มันไว้ก่อนหน้าว่าคุ้นเคยและเป็นเชิงบวก หรือความรู้สึกในทางตรงกันข้ามก็เกิดขึ้นได้ ('ไอหมอนี่ช่างงี่เง่าสิ้นดี') หากบางลักษณะของเขาดันเชื่อมโยงไปถึงประสบการณ์เชิงลบในอดีตของเรา"

            ด้วยเหตุนี้กลิ่นน้ำหอมที่เหมือนกับคนที่เราไม่ชอบ กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงหรืออารมณ์และการแสดงออกเชิงลบอื่น ๆ ได้ จึงไม่แปลกที่เราอาจรู้สึกเครียด กดดันเมื่ออยู่ใกล้คนคนหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล หรืออาจจะรู้สึกมีความสุข สบายใจเมื่ออยู่ใกล้กับบุคคลหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผลก็ได้เช่นเดียวกัน

            ประสบการณ์ในอดีตของเราจึงมีอิทธิพลสำคัญต่อปัจจุบันอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้องทบทวนตัวเองว่าเราเคยผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง และตั้งคำถามกับตัวเองว่าเพราะอะไรสิ่งนี้จึงมีอิทธิพลกับฉันอย่างเปิดใจ เพราะทุกพฤติกรรมย่อมมีสาเหตุเสมอ การที่เราสามารถค้นหาจุดเชื่อมโยงจนเจอและยอมรับมันได้ก็จะสามารถปลดปล่อยตัวเองจากปมเหล่านั้นได้ในที่สุด

            ทุก ๆ คนล้วนมีความเชื่อมโยงดังกล่าวไม่มากก็น้อย เพราะมันเป็นรูปแบบหนึ่งของกระบวนการทำความเข้าใจโลกของสมอง โดยสร้างความคิดเชื่อมโยงและทำให้เกิดความทรงจำขึ้นมา นี่คือเหตุผลว่าทำไม การถามว่า "คุณผ่านอะไรมา" หรือวิเคราะห์ว่า "เราผ่านอะไรมาบ้าง"

 จึงสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเราหรือกับเขาในตอนนี้

อ้างอิง

Perry, B., & Winfrey, O. (2021). What Happened to You?: Conversations on Trauma, Resilience, and Healing. NY: Flatiron Books: An Oprah Book.

ความคิดเห็น