สร้างประสบการณ์ที่วิเศษในปัจจุบัน เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากอดีตอันเลวร้าย

"เรารู้สึกดีกับความแน่นอนของความทุกข์ มากกว่าความทุกข์ของความไม่แน่นอน"

            สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตก็คือ เมื่อประสบการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น มันจะไม่มีทางหายไป แม้เราจะลืมเลือนไปบ้างแต่บาดแผลนั้นมันก็กัดกล่อนจิตใจของเราจนเสียหาย หรือเป็นนรอยแผลเป็นที่ไม่มีทางจางหายไป เมื่อเราพบเจอเหตุการณ์ที่สอดคล้องกัน หรือขบคิดเกี่ยวกับอดีตที่เลวร้าย มันก็คือการเปิดรอยแผลนั้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม

            ยิ่งไปกว่านั้นหากเราเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาเป็นเวลานาน เช่น โดนพ่อแม่ทำร้าย หรือพ่อแม่ชอบทะเลาะกัน หรือครอบครัวที่ยากจนค้นแค้น ต่อให้เราหลุดออกจากสภาพแวดล้อมเหล่านั้นเมื่อเราเติบโตขึ้น แต่สุดท้ายเราก็จะดึงดูดให้สภาพแวดล้อมเหล่านั้นเกิดขึ้นมา เนื่องจากเรามีแนวโน้มมุ่งเข้าหาความคุ้นเคย แม้ว่าความคุ้นเคยนั้นจะไม่ดีต่อตัวเองหรือสร้างความเสียหายก็ตาม 

            ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีภูมิหลังที่เคยโดนทำร้ายมา เราก็อาจจะไปมีความสัมพันธ์กับคนที่ชอบทำร้าย เพราะว่ามันคือความคุ้นเคย ดังที่นักจิตวิทยา เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ (Virginia Satir) ได้สรุปเอาไว้ว่า "เรารู้สึกดีกับความแน่นอนของความทุกข์ มากกว่าความทุกข์ของความไม่แน่นอน" ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราจะดึงดูดเข้าหาสิ่งที่คุ้นเคย ในทางตรงกันข้ามหากเราได้รับการดูแลที่ปลอดภัยและทะนุถนอม เราก็จะคิดว่าโดยเนื้อแท้แล้วผู้คนล้วนดี เมื่อเราไปเจอคนอื่น ก็จะดึงเอาสิ่งดี ๆ กลับมาหาตัวเราเอง

            ลองคิดดูสิครับ เราทุกคนชอบในสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ตราบใดที่เราคาดเดามันได้ เราก็จะมุ่งหาในสิ่งนั้น "บางทีฉันน่าจะทำแบบนี้ เขาจะได้โกรธ" เพราะความโกรธนั้นอาจเป็นพฤติกรรมที่เราคุ้นเคยมาแต่เด็ก แม้คนที่โกรธเราจะปฏิบัติต่อเราแย่มาก ๆ เลยก็ตาม กล่าวคือ มันทำให้เราสบายใจเพราะเป็นความคุ้นเคย

หากเราได้รับความรักและความปลอดภัย เราก็จะคิดว่าโดยเนื้อแท้แล้วผู้คนล้วนดี 

            ในหนังสือ What Happened to You? โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) ได้เล่าถึงเรื่องเด็กสาวคนหนึ่งในโรงเรียนของเธอ ซึ่งเด็กหลายคนถูกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมที่พวกเธอไม่ได้เห็นหรือรับรู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร หรือการแสดงความรักที่แท้จริงรู้สึกอย่างไร สำหรับผู้หญิงในชุมชนของพวกเธอ ที่บ้านและภายในครอบครัว การกระทำทารุณเป็นเรื่องเชิงระบบ และมันมากกว่าแค่การทำร้ายทางร่างกาย

            ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนไม่มาหาตามเวลาที่พวกเขาบอกว่าจะมาหา พวกเขาไม่ทำตามสิ่งที่พวกเขาพูดว่าจะทำ แล้วในที่สุดเราก็จะเริ่มเชื่อไปว่าแบบนี้่แหละคือความรัก คุณถูกฝึกมาแบบนี้ ดังนั้น เมื่อหนึ่งในนักเรียนของเธอไปคบหากับหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ที่ให้ความเคารพต่อเธอ แต่เธอกลับคิดไปโดยอัตโนมัติว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างไม่ดีในตัวเขา ส่งผลให้เธอทำหลายอย่างเพื่อยั่วยุเขา 

            ผลก็คือ เธอบั่นทอนความสัมพันธ์นี้เพื่อทำให้เขาปฏิบัติกับเธอในแบบที่เธอเคยชิน คือทำให้เขาทิ้งเธอไป โอปราห์ได้ยกคำกล่าวของ มายา แองเจลูที่เคยบอกว่า "คุณสอนผู้คนว่าจะปฏิบัติต่อคุณอย่างไร" แต่มันเป็นหนทางสิ้นสุดจริงหรือไม่ เรามีหนทางอะไรบ้างที่จะฟื้นฟูหรือปลดปล่อยตัวเองออกจากอดีตอันเลวร้ายหรือไม่ โชคดีที่มันมีโอกาสนั้น

            นายแพทย์บรูซ เพอร์รี่ (Bruce Perry, M.D., Ph.D) หนึ่งในผู้เขียนหนังสือ What Happened to You? ได้อธิบายว่า สมองของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งชีวิต คนเราเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบสุ่ม ๆ เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเจตนารมณ์ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งใดจำเป็นต้องแก้ไข สิ่งสำคัญก็คือการมองให้ออกถึงปัญหาที่แท้จริง หรือเรียกได้ว่า "รูปแบบการใช้ชีวิต"

            รูปแบบการใช้ชีวิตเหล่านี้ดำเนินไปตลอดชีวิตของบุคคลหนึ่ง และมักเคยเกิดขึ้นตลอดชีวิตของพ่อแม่ และปู่ย่าตายายของพวกเขา และถ้าเรามองไม่เห็นมัน ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ผู้คนจำนวนมากที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตมักจะเคยชินกับความโกลาหล จริง ๆ แล้วพวกเขารู้สึกสบายใจตอนที่โกลาหลมากกว่าตอนสงบเสียด้วยซ้ำ อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น "เราทุกคนชอบในสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว"

            ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในชั้นเรียนใหม่ หรือสถานที่ใหม่ ๆ ที่ซึ่งผู้คนมีพฤติกรรมที่คาดเดาได้ สม่ำเสมอ และใส่ใจ จึงทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ แล้วพวกเขาก็จะไม่สบายใจมากขึ้นทีละน้อย ๆ จนพวกเขาต้องยั่วยุให้เกิดการตอบสนองตามที่ตนเองคาดเดาได้ ซึ่งมีคุณครูและพ่อแม่อุปการะเล่าให้นายแพทย์เพอร์รี่ฟังว่า "เขาทำตัวเหมือนอยากจะโดนทำโทษ"

            และเมื่อไปถึงระดับหนึ่ง เขาก็จะคิดถูกจริง ๆ เขาแสวงหาการตอบสนองที่คาดเดาได้จากโลก ซึ่งสำหรับเขา การเคาเดาได้นั้นหมายถึง การโดนทำโทษ ตัดหางปล่อยวัด หรือไม่ให้ค่า เขามองหาหลักฐานซึ่งเป็นสภาวะการณ์ที่เขาคุ้นชิน ว่าโลกทัศน์ของเขาถูกต้อง โลกนี้โกลาหล ผู้คนไว้ใจไม่ได้ ฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา เขาจึงพยายามทำตัวให้ถูกไล่ออกจากชั้นเรียน หรือต่อว่าทำโทษ และอื่น ๆ ที่อาจจะร้ายแรงกว่านี้

            สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ให้เวลาและประสบการณ์ที่วิเศษแก่เด็ก ๆ เหล่านี้ พวกเขาจำเป็นต้องอดทน ทำความเข้าใจ และรับประสบการณ์ใหม่เข้ามาให้มาก ๆ เพื่อก่อร่างสร้างมุมมองใหม่ต่อโลกใบนี้ขึ้นมา ซึ่งรวมไปถึงการได้มีความสัพพันธ์ใหม่ ๆ มีระบบ มีความคาดหวัง และมีบทเรียนทางสังคมและอารมณ์บทใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างโครงข่ายประสาทที่มีความคิดชุดใหม่ทั้งหมด

            โลกทัศนต์ของพวกเขาจะถูกปรับ ขยับขยาย ทำให้กระจ่างชัด และเป็นปึกแผ่นแข็งแรง การทำเช่นนี้ได้ต้องใช้เวลา ความอดทน และในบางครั้งก็ต้องใช้การบำบัดเข้าช่วย อย่างไรก็ตามอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นไม่มีทางที่จะลบล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้ แต่อะไรก็ตามที่ประสบการณ์ในอดีตได้สร้างไว้ในสมองของเรา ความคิดเหล่านั้นจะยังคงอยู่และเราไม่สามารถลบมันทิ้งไปได้

            เพียงแต่เราสามารถสร้างความคิดใหม่ ซึ่งเป็นการวางเส้นทางตั้งต้นใหม่ที่ดีต่อตัวพวกเขามากขึ้น ทั้งหมดนี้เราสามารถประยุกต์ใช้เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากอดีตอันเลวร้าย แม้ว่าเราจะไม่มีทางลืมหรือลบล้างได้ แต่การสร้างประสบการณ์ที่วิเศษเป็นเหมือนการสร้างถนนตีคู่ขนาดไปกับถนนลูกรังเก่าแก่ กล่าวคือเป็นการสร้างค่าตั้งต้นใหม่ 

            ซึ่งเราสามารถสร้างค่าตั้งต้นใหม่ได้ โดยการให้ความรัก ความเอาใจใส่ต่อกันและกัน สร้างสัมพันธภาพที่ดี รับฟัง ปรับความคิดให้เป็นเชิงบวก การทำกิจกรรมที่สนุกร่วมกัน ไปจนถึงการได้รับการบำบัดทางจิตวิทยา แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือการทำความเข้าใจบาดแผลของตัวเอง และคิดไว้เสมอว่า 

มันไม่มีอะไรสายเกินไป เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

อ้างอิง

Perry, B., & Winfrey, O. (2021). What Happened to You?: Conversations on Trauma, Resilience, and Healing. NY: Flatiron Books: An Oprah Book.

ความคิดเห็น