การหลีกเลี่ยงจึงกลายเป็นเครื่องขยายทุกข์แทนที่จะดับทุกข์ พุทธจิตวิทยาเสนอทางกลับกัน โดยให้ใช้สติหันหน้าเข้าหาทุกข์อย่างรู้เท่าทัน
เสน่ห์อย่างหนึ่งของศาสนาพุทธสำหรับผมคือการไม่พยายามหลีกเลี่ยงความทุกข์ โดยปกติแล้วเราทุกข์โดยเพราะเราพยายามจะหลีกหนีมัน ไม่แตกต่างอะไรกับการพยายามออกจากบ้านแล้วจะไม่เจอรถยนต์ มันคือสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เราจะต้องพบเห็นอยู่แล้วแหละ ซึ่งความทุกข์ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน เทียบเท่ากับที่เราออกไปข้างนอกต้องเจอรถยนต์บนถนนคือ ความผิดพลาด หรือความล้มเหลว
เราไม่อาจหลีกเลี่ยงความทุกข์ ความผิดพลาด หรือความล้มเหลวได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นกำแพงที่หยุดเราไว้ หากสามารถแปรเปลี่ยนเป็นครูที่ช่วยเปิดตาและเปิดใจให้เราเรียนรู้ได้มากกว่าเดิม ความต่างอยู่ที่วิธีที่เราเลือกตอบสนองต่อความทุกข์ หากใจเลือกหนี ความทุกข์จะวนซ้ำเป็นวงจร แต่ถ้าใจเลือกเผชิญด้วยสติ มันจะกลายเป็นข้อมูลชุดใหม่ที่ผลักเราไปข้างหน้า ผมเขียนบทความนี้เพื่อชวนผู้อ่านทุกท่านเปลี่ยนความทุกข์เป็นการเติบโต ด้วยพลังของสติและการเรียนรู้
แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ตัวความทุกข์เอง เพราะความทุกข์เป็นเพียงสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจากการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือความไม่แน่นอนของชีวิต บางคนเลือกผลักไสและหลีกเลี่ยง ทำให้ทุกข์นั้นฝังลึกและวนซ้ำไม่รู้จบ ไม่แตกต่างกับการที่บอกกลับตัวเองว่า "อย่าคิดถึงหมีขาว" ภาพหมีขาวก็จะลอยเข้ามาไม่จบไม่สิ้น
เรามักพยายามคิดว่า "อย่าคิดถึงเรื่องเศร้านะ" "อย่าคิดถึงความล้มเหลวนะ" ในขณะที่บางคนสามารถที่จะเลือกหยุด ตั้งสติ และมองความทุกข์อย่างตรงไปตรงมา เมื่อทำเช่นนี้ ความทุกข์จะไม่ใช่สิ่งที่ต้องหนี แต่กลายเป็นข้อมูลที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นเชื้อไฟให้เราเรียนรู้และเติบโตในเส้นทางชีวิตอย่างแท้จริง
วงจรหลีกเลี่ยงความทุกข์ |
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ตกผลึกตลอดระยะเวลาอันยาวนาน คือ ความทุกข์เกิดขึ้นจากการที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยง ในภาษาพุทธ นี่คือวงจรของ “ตัณหา อุปาทาน ภพ ทุกข์” ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ ปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงถึงวงจรการเกิดทุกข์ในพุทธศาสนา โดยตัณหาเป็นสาเหตุให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ และภพนั้นนำไปสู่ทุกข์ เกิดขึ้นเมื่อกระทบผัสสะ เช่น ถูกตำหนิ งานล้ม หรือเสียงวิจารณ์ ใจที่รับคือ “เวทนา” ไม่พึงพอใจ แล้วเกิดโทสะอยากผลักออกไป
ด้วยเหตุนี้เราจึงพยายามหลีกเลี่ยง ไม่อ่านฟีดแบ็ก เลื่อนส่งงาน ปิดการสนทนา ผลที่ตามมาคือ ลูกศรดอกที่สอง ความคิดฟุ้งซ่าน โทษตนเอง กังวลล่วงหน้า ซึ่งเจ็บยิ่งกว่าตัวเหตุการณ์แรก การหลีกเลี่ยงจึงกลายเป็นเครื่องขยายทุกข์แทนที่จะดับทุกข์ ข้อดีของพุทธจิตวิทยาคือการเสนอทางกลับกัน โดยให้ใช้สติหันหน้าเข้าหาทุกข์อย่างรู้เท่าทัน
เพราะสิ่งทั้งปวง ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตน (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ความรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นเพียงคลื่นลูกหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งถาวรของเรา เมื่อเรารู้ทันวงจร “ผัสสะ เวทนา ความอยากผลัก พฤติกรรมหลีกเลี่ยง” วงจรจะช้าลง หลังจากนั้นเราจึงจะมีช่องว่างให้เลือกการกระทำใหม่ที่สอดคล้องคุณค่ามากกว่าการตอบสนองอัตโนมัติ เช่น แทนที่จะปิดอีเมลฟีดแบ็ก เราเลือกอ่านทีละย่อหน้า หยุดหายใจ รับรู้ความรู้สึก แล้วจดหนึ่งสิ่งที่อยากจะปรับ
เพื่อไม่ให้จิตใจเปราะบางจนเกินไป ให้เติมความเมตตา (เมตตาภาวนา) และ กรุณา เข้ามาคู่กัน โดยให้พูดกับตนเองเหมือนเพื่อนที่ดี “วันนี้เธอเหนื่อยมาก พักหายใจก่อน แล้วค่อยแก้ทีละจุด” เมื่อใจอ่อนโยน เราจะกลับเข้าสู่สนามได้เร็วและนิ่งขึ้น กระบวนการนี้คือการใช้ สติ สมาธิ และปัญญาที่ประสานเป็นทักษะชีวิต
สติทำให้เห็นจริง ปัญญาทำให้เลือกถูก สมาธิทำให้มั่นคงต่อเนื่อง ความเจ็บปวดจึงกลายเป็นครู กล่าวคือความล้มเหลวกลายเป็นข้อมูลจริงชุดใหม่ เมื่อเราหยุดวิ่งหนีและเลือกเผชิญอย่างมีสติ ทุกข์จะกลายเป็นเชื้อเพลิงการเติบโต
วงจรสู่การเติบโตด้วยสติ |
เมื่อเราปล่อยวางการตำหนิตัวเอง เราจะมีพื้นที่ในใจมากพอที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับปรุงอย่างสร้างสรรค์ โดยไม่ติดกับดักของความกลัวและการหลีกเลี่ยง ซึ่งสอดคล้องกับวงจรในพุทธจิตวิทยาที่ว่า “ผัสสะ เวทนา ความอยากผลัก พฤติกรรมหลีกเลี่ยง” หากเราไม่รู้เท่าทัน ใจจะเผลอผลักทุกข์ทิ้งจนยิ่งติดอยู่ในวงจรเดิม
และเมื่อนำทั้งสองวงจรมาเปรียบเทียบกันจะพบว่า วงจรหลีกเลี่ยงทุกข์ ทำให้เราติดอยู่กับการหนีทุกข์ ยิ่งผลักออกไป ความกลัวและความเครียดยิ่งสะสม จนกลายเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และการพัฒนา ขณะที่วงจรสู่การเติบโตด้วยสติเปิดพื้นที่ให้เราหยุดรับรู้ประสบการณ์ตรง ๆ ด้วยใจที่ไม่ผลักไส เมื่อตั้งสติได้ เราจะเห็นความจริงว่าความผิดพลาดคือข้อมูลใหม่ และเมื่อใจสงบพอ เราจึงเลือกตอบสนองอย่างสร้างสรรค์ เปลี่ยนเหตุการณ์ที่เคยทำให้เราหนี ให้กลายเป็นเชื้อไฟของการเติบโตทางจิตใจและความก้าวหน้า
เปรียบเทียบวงจรหลีกเลี่ยงทุกข์ และวงจรสู่การเติบโตด้วยสติ |
จากตารางดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ทั้งสองวงจรเริ่มต้นจากสิ่งเดียวกัน คือ “ผัสสะ” และ “เวทนา” แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างคือ "ใจเลือกตอบสนอง" หากใจถูกครอบงำด้วยความอยากผลัก จะนำไปสู่การหลีกเลี่ยงและปิดกั้นการเรียนรู้ วงจรนี้จึงทำให้ความทุกข์ทับซ้อนและกลายเป็นอุปสรรคในระยะยาว
ตรงกันข้าม หากใจตั้งมั่นด้วยสติ จะไม่ผลักไสความรู้สึก แต่รับรู้และเลือกแปลงมันเป็นโอกาส วงจรนี้จึงเปิดทางสู่การเรียนรู้และการเติบโต ทั้งสองวงจรสะท้อนให้เห็นว่า
“ตัวเหตุการณ์ภายนอกเหมือนกัน แต่การเลือกภายในต่างกัน” ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ของชีวิตแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
อ้างอิง
Kashdan, T. B., Barrios, V., Forsyth, J. P., & Steger, M. F. (2006). Experiential avoidance as a generalized psychological vulnerability: Comparisons with coping and emotion regulation strategies. Behaviour Research and Therapy, 44(9), 1301–1320. https://doi.org/10.1016/j.brat.2005.10.003
Shapiro, S. L., Carlson, L. E., Astin, J. A., & Freedman, B. (2006). Mechanisms of mindfulness. Journal of Clinical Psychology, 62(3), 373–386. https://doi.org/10.1002/jclp.20237
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น