สติทำให้เราเห็นความจริง ส่วนสัมปชัญญะทำให้เราเข้าใจความจริงนั้น
ในฐานะที่ผมได้ศึกษาการจัดการตนเอง (Self-Management) และได้นำแนวทางมาปรับใช้กับนักเรียนและตนเอง ผมพบว่า ในยุคที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวเร็วและเรียกร้องให้เราทำได้มากกว่าเดิมการจัดการตนเอง คือทักษะที่สำคัญที่สุดของชีวิตการทำงานและการเรียนรู้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่จำเป็นจะต้องอาศัยการจัดการตนเองในการต่อยอด
เรามักเข้าใจว่าการจัดการตนเอง คือการควบคุมเวลา งาน หรือพฤติกรรมของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ แต่แท้จริงแล้ว แก่นของมันลึกกว่านั้นมาก เพราะการจัดการที่แท้จริงเริ่มต้นจากการรู้เท่าทันใจของเราเอง
ในทางพุทธจิตวิทยา หลักธรรมที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างงดงามที่สุดคือ สติและสัมปชัญญะ นักวิชาการบางท่านอาจใช้คำว่า Mindfulness and Clear Awareness ซึ่งไม่ผิด แต่ผมว่ามันยาวเกินไป ผมจึงขอใช้คำว่า "Full Awareness" ที่แปลว่า ความตระหนักรู้เต็มที่ เพราะ สติและสัมปชัญญะ คือ ความระลึกได้และไม่หลง ซึ่งเป็นการทำงานในระดับของจิตสำนึก
คู่พลังแห่งการรู้ตัวและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สติทำให้เราเห็นความจริง ส่วนสัมปชัญญะทำให้เราเข้าใจความจริงนั้น” หากสติคือแสงที่ส่องให้เห็นอารมณ์ ความคิด และความทุกข์ สัมปชัญญะก็เปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนความเข้าใจ ทำให้เราไม่จมอยู่ในสิ่งที่เห็น แต่เรียนรู้จากมันได้อย่างมีสติและปัญญา ผู้เขียนจะขอแยกอธิบายทีละส่วนแบบสั้น ๆ
พลังของสติ (Awareness)
ในทางจิตวิทยา “สติ” คือการระลึกรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้โดยไม่ตัดสิน (Kabat-Zinn, 1994)
การมีสติเปรียบเสมือนการเปิดไฟในห้องมืด เมื่อมีแสง เราจะเห็นความคิด อารมณ์ และแรงกระตุ้นต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความรู้ตัวนี้เองคือจุดเริ่มต้นของการจัดการตนเองที่ดี เพราะทำให้เรามีช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างสิ่งที่มากระทบกับการตอบสนอง
ตัวอย่างเช่น ก่อนที่เราจะเผลอหยิบโทรศัพท์เลื่อนโซเชียลทั้งที่ตั้งใจจะทำงาน สติจะช่วยให้เรารู้ว่า “ตอนนี้ฉันกำลังหนีจากความเครียด” เมื่อรู้เช่นนั้น เราจึงมีโอกาสเลือก “วางโทรศัพท์” แล้วกลับมาทำสิ่งที่สำคัญกว่า
สติ ช่วยให้เรารู้ว่า “ตอนนี้ฉันกำลังหนีจากความเครียด” เมื่อรู้เช่นนั้น เราจึงมีโอกาสเลือก “วางโทรศัพท์” ลง
ด้วยเหตุนี้สติจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือป้องกันความผิดพลาด แต่เป็นระบบตรวจจับทางใจที่คอยบอกว่าเรากำลังทำอะไร และรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น งานวิจัยทางจิตวิทยาเกี่ยวกับอารมณ์ (Gross, 2015) ยังพบว่า ผู้ที่มีสติสูงจะมีความสามารถในการกำกับอารมณ์ (Emotional Regulation) ดีกว่าคนทั่วไป เพราะพวกเขารู้ตัวก่อนถูกอารมณ์ครอบงำ
ผมจึงใช้คำว่า "Awareness" ที่แปลว่าการตระหนักรู้ เพราะไม่ใช่แค่ นึกถึง หรือ รู้ เท่านั้น แต่เป็น ความรู้ตัว และเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง
พลังของสัมปชัญญะ (Full)
ในทางพุทธจิตวิทยา สัมปชัญญะคือสติที่มาพร้อมปัญญา รู้ทั้งการกระทำและเจตนา เช่น “เรากำลังทำสิ่งนี้ด้วยความตั้งใจ หรือเพราะความกลัว” คำถามนี้คือหัวใจของการจัดการตนเองเช่นเดียวกัน เพราะมันช่วยให้เราไม่หลงทางในเป้าหมายเล็ก ๆ จนลืมเป้าหมายใหญ่ในชีวิต
ถ้าสติคือการ “รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น”
สัมปชัญญะคือการ “เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร”
ตัวอย่างเช่น ในวันที่งานเยอะและเหนื่อย เราอาจรีบทำเพื่อให้เสร็จ แต่สัมปชัญญะจะเตือนเราว่า “ฉันทำสิ่งนี้เพื่อคุณค่าหรือเพราะกลัวโดนตำหนิ” เมื่อเข้าใจเจตนา เราจะเลือกทำด้วยใจสงบ แทนที่จะทำด้วยใจตึง
ในเชิงจิตวิทยา สัมปชัญญะเกี่ยวข้องกับ "ความยืดหยุ่นทางความคิด" คือความสามารถในการปรับวิธีคิดให้เหมาะกับสถานการณ์ (Kashdan & Rottenberg, 2010) เมื่อเรามีสัมปชัญญะ เราจะไม่ตัดสินว่าต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ แต่รู้ว่าเมื่อใดควรพัก เมื่อใดควรเปลี่ยนวิธี และเมื่อใดควรเดินต่อ
ผมจึงใช้คำว่า "Full" เพราะเป็นการเติมเต็มสติ เพื่อให้ "ไม่หลง" หรือ "รู้ชัด" เป็นส่วนของปัญญา เช่น สิ่งที่สติรับรู้มานั้นอย่างชัดเจน เช่น รู้ว่าเดินไป (สติ) เพื่ออะไร (สัมปชัญญะ) รู้ว่าความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี (สติ) และ ควรจัดการอย่างไร (สัมปชัญญะ) ดังนั้นสัมปชัญญะจึงอาจเปรียบเหมือนการ "วิเคราะห์" สิ่งที่จดบันทึกไว้
เมื่อประกอบกัน การมีสติและสัมปชัญญะ จึงเป็น สภาวะของ "ความตื่นรู้เต็มที่" (Full Awareness) อย่างแท้จริง กล่าวคือ ไม่ใช่แค่การ "รู้ทัน" (สติ) ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ แต่เป็นการ "รู้ชัด" (สัมปชัญญะ) ว่า สิ่งนั้นคืออะไร เกิดขึ้นด้วยเหตุใด มีประโยชน์หรือโทษ และเราควรจะจัดการหรือตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่เรากำลังถูกตำหนิ "สติ" อาจทำหน้าที่เพียงระลึกรู้ว่า "โอ้ ตอนนี้กำลังโกรธ หน้าร้อนผ่าว" แต่ "สัมปชัญญะ" จะ "รู้ชัดว่าการโกรธตอนนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร (รู้โทษ) สิ่งที่ควรทำคือตั้งใจฟังเพื่อทำความเข้าใจปัญหา (รู้ว่าควรทำอะไร) และหาทางแก้ไข (รู้เหตุผล)"
ในทางกลับกัน หากขาดซึ่งสัมปชัญญะ แม้จะมีสติรู้ว่าโกรธ เราก็อาจจะยังเผลอหลงไปกับการโต้เถียงเพื่อปกป้องตัวเอง ดังนั้นสติและสัมปชัญญะจึงเป็นกระบวนการที่สมบูรณ์ของจิตที่รู้ตัว ทำให้เราสามารถจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ และเลือกกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดในขณะนั้นครับ
ฝึกใช้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อผสาน “สติ” และ “สัมปชัญญะ” เข้ากับการจัดการตนเอง ผลจึงไม่เพียงบริหารเวลาได้ดีขึ้น แต่ยัง “บริหารใจ” ได้อย่างมั่นคงและอ่อนโยน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวันได้ เช่น
- ก่อนเริ่มงาน ลองหายใจเข้า–ออกลึก ๆ 3 ครั้ง พร้อมตั้งใจว่า “วันนี้ฉันจะทำด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ความเร่งรีบ” เพื่อเป็นการเตือนสติของตนเอง
- ทุกคืนก่อนนอน เขียนบันทึกสั้น ๆ ว่า “สิ่งที่ฉันทำได้ดีวันนี้คืออะไร และฉันได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่พลาดไป" เพื่อเป็นการใช้สัมปชัญญะให้เราจัดการชีวิตของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
- หากระหว่างวันรู้สึกเครียด ให้หยุดเพียง 10 วินาทีแล้วถามตัวเองว่า “ฉันรู้สึกอย่างไรตอนนี้ และฉันกำลังทำไปเพื่ออะไร” (เป็นการใช้ทั้งสติและสัมปชัญญะ)
การฝึกเล็ก ๆ แบบนี้ทำให้การจัดการตนเองไม่ใช่เรื่องของระเบียบวินัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็น การรู้ตัว รู้ใจ และเลือกทางที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา เพราะสติทำให้เราหยุดพฤติกรรมอัตโนมัติ สัมปชัญญะทำให้เราเลือกการกระทำอย่างมีปัญญา ทั้งสองร่วมกันคือหัวใจของการจัดการตนเองอย่างแท้จริง
เมื่อเราฝึกจัดการตนเองด้วยสติและสัมปชัญญะ การจัดการชีวิตจะไม่ใช่การควบคุม แต่คือการ ดูแลใจให้มั่นคงและยืดหยุ่น เราจะไม่เพียงทำงานได้มากขึ้น หรือเรียนได้ดีขึ้น แต่ยังอยู่กับงานได้อย่างสงบ เพราะแท้จริงแล้ว การจัดการตนเองไม่ได้หมายถึงการทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์
แต่หมายถึง การเข้าใจตนเอง และเลือกกระทำอย่างในทิศทางที่ถูกต้อง
อ้างอิง
Gross, J. J. (2015). Emotion regulation: Current status and future prospects. Psychological Inquiry, 26(1), 1–26. https://doi.org/10.1080/1047840X.2014.940781
Kabat-Zinn, J. (1994). Wherever you go, there you are: Mindfulness meditation in everyday life. New York: Hyperion.
Kashdan, T. B., & Rottenberg, J. (2010). Psychological flexibility as a fundamental aspect of health. Clinical Psychology Review, 30(7), 865–878. https://doi.org/10.1016/j.cpr.2010.03.001
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น