การคลายอุปาทานออก (letting go of attachment): เมื่อความเชื่อใจใช้พลังงานน้อยกว่าสงสัยทุกคน

ไม่มีใครควบคุมทุกสิ่งได้ และบางครั้ง การยอมรับความไม่แน่นอนก็เป็นหนทางเดียวที่ทำให้เรายังคงเติบโตได้

            ระหว่างที่ผมดูซีรีย์เกาหลีเรื่อง My Youth วัยเยาว์ของสองเรา เนื้อเรื่องจะโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของคนสองคน คือ ซอนอูแฮ (รับบทโดย ซงจุงกิ) อดีตนักแสดงเด็กชื่อดังที่ตัดสินใจหันหลังให้กับวงการบันเทิงและใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นนักเขียนนิยายและเจ้าของร้านดอกไม้ กับ ซองเจยอน (รับบทโดย ชอนอูฮี) ผู้จัดการนักแสดงที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในวงการบันเทิงหลังครอบครัวล้มละลาย

            ทั้งคู่เป็น รักแรก ของกันและกันในวัยเด็กที่ต้องแยกจากกันไปนานกว่าสิบปี โชคชะตาได้นำพาให้พวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งในวันที่ต่างคนต่างเติบโตและแบกรับบาดแผลในชีวิต การกลับมาพบกันครั้งนี้จึงเป็นการปลุกความรู้สึกดีๆ ในอดีตให้กลับมาอีกครั้ง และช่วยให้พวกเขาได้เยียวยาหัวใจและเดินหน้าต่อไปในชีวิต

            มีฉากหนึ่งที่ตัวละครซอนอูแฮพูดว่า "พออายุมากขึ้น ฉันก็คิดได้ว่าการเชื่อใจคนใช้พลังงานน้อยกว่าการมานั่งสงสัยทุกคน" ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้ผมนิ่ง และคิดอยู่นาน นึกถึงอดีตที่มองทุกสิ่งทุกอย่างในเชิงลบ มุมมองนี้มาจากความเจ็บปวดจากความผิดหวัง ที่ไว้ใจคนผิด เชื่อใจคนผิด สำหรับผมในอดีตความผิดหวังคือความเจ็บปวด และผมเชื่อว่าทุกคนก็คงคิดเหมือนกัน

            แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป ความผิดหวัง กลายเป็นอาหารว่างสำหรับผม เพราะไม่มีมนุษย์คนใดที่สมบูรณ์ เราจะพบว่าแต่ละคนมีข้อบกพร่อง มีด้านดี ด้านไม่ดี ด้านสว่าง ด้านมืด ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน และการจะไปสงสัย กังวล สอดส่องทุกคนตลอดเวลา มันใช้พลังงานมหาศาล และเหนื่อยมาก ๆ เช่นเดียวกับ ซอนอูแฮ ที่เป็นอดีตนักแสดงเด็กที่เคยถูกทำร้ายจิตใจและถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนรอบข้างในวงการบันเทิง ทำให้เขาหันหลังให้ชีวิตเดิมและพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบ 

การคลายอุปาทาน (Letting go of attachment)

            นี่จึงเป็นเหตุที่ผมชอบซีรีย์เรื่องนี้มาก เพราะเมื่อเราผ่านประสบการณ์มากพอ เราจะเริ่มเห็นว่า “การไม่ไว้ใจ” ไม่ได้ป้องกันเราจากความผิดหวังได้เสมอไป แต่กลับทำให้เราสูญเสียความสงบในใจโดยไม่จำเป็น ในเชิง พุทธจิตวิทยา ประโยคนี้แสดงถึง “การคลายอุปาทาน” (letting go of attachment) หมายถึงการลดการยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  ซึ่งเป็นการปล่อยวางด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยการหลีกหนี

            ผลการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 800 คน พบว่า การไม่ยึดติด หรือ ใจที่คลายอุปทาน (non-attachment) เป็นลักษณะทางจิตที่สัมพันธ์กับสุขภาวะทางใจ (Psychological well-being) อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ความสงบ ความพึงพอใจในชีวิต ความเมตตา และความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ในทางกลับกัน ผู้ที่มี Non-attachment ต่ำ (ใจที่ยึดติด) มักมีแนวโน้มวิตกกังวลและทุกข์ทางใจสูงกว่า (Sahdra, Shaver & Brown, 2010)

            ดังนั้นการลดการยึดถือว่าเราต้องควบคุมทุกสิ่ง ต้องรู้แน่ชัดว่าใครดีหรือร้าย เป็นทางเลือกที่ใช้พลังงานน้อยกว่า เราต้องตระหนักว่าว่า ความเชื่อใจไม่ได้แปลว่าไม่ระวัง แต่คือการ วางใจอย่างมีปัญญา ยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านที่ยังไม่สมบูรณ์

"พออายุมากขึ้น ฉันก็คิดได้ว่าการเชื่อใจคนใช้พลังงานน้อยกว่าการมานั่งสงสัยทุกคน"

            แท้จริงแล้วพลังงานที่เสียไปกับการระแวงนั้นยิ่งใหญ่กว่าความเสี่ยงที่เราพยายามจะหลีกหนีเสียอีก การที่ตัวละครซอนอูแฮเลือกเชื่อใจจึงไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นการตัดสินใจอย่าง มีสติ ที่จะลดการยึดมั่นใน อัตตา ที่พยายามจะควบคุมโลกและป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวดทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นการยึดติดที่ไม่มีทางสำเร็จ การปล่อยให้ใจได้พักจากการสืบค้นหาความไม่สมบูรณ์ของผู้อื่น แต่คือการยอมรับสัจธรรมของชีวิตว่า ความไม่แน่นอนคือความแน่นอนที่สุด 

            และเมื่อเราสามารถวาง "ภาระของความหวาดระแวง" ลงได้ เราก็จะสามารถใช้พลังงานทางจิตนั้นมาอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างสงบ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยทั้งความงามและความเปราะบาง โดยมี "ความสงบในใจ" เป็นเกราะป้องกันที่มั่นคงกว่าการพยายามสร้าง "กำแพงแห่งการไม่ไว้ใจ" ที่มีแต่จะทำให้เราโดดเดี่ยว

ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Emotionally resilient)

            ในเชิง จิตวิทยาสมัยใหม่ การเลือกเชื่อใจยังเป็นเครื่องหมายของ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (emotionally resilient) หมายถึง สิ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถรับมือกับความไม่แน่นอน ความผิดหวัง และแรงกดดัน โดยไม่สูญเสียความสงบภายในอย่างยืดหยุ่น เพราะคนที่มีพลังพอจะเชื่อใจผู้อื่น มักไม่กลัวการผิดหวัง แต่รู้ว่าตนเองจะรับมือกับมันได้ นั่นคือความเข้มแข็งที่แท้จริง กล่าวคือความเชื่อใจไม่ใช่ความบังเอิญของอารมณ์ แต่คือ การตัดสินใจเชิงสติ ที่เกิดจากการยอมรับในความไม่แน่นอนของมนุษย์ 

            คนที่เชื่อใจไม่ได้ไร้เดียงสาหรือไม่รู้เท่าทันโลก หากแต่เข้าใจว่า การปิดใจเพื่อป้องกันความเจ็บปวด นั้น ก็เท่ากับการปิดโอกาสที่จะได้รับความรัก ความร่วมมือ และความงดงามจากผู้อื่นเช่นกัน ในทางจิตวิทยา ผู้ที่มี ความยืดหยุ่นทางอารมณ์สูง มักมีวงจรความคิดแบบนี้อยู่ในใจเสมอ "ฉันอาจถูกทำร้ายได้ แต่ฉันจะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยความระแวง"

            พวกเขาไม่พยายามควบคุมทุกอย่างให้แน่นหนา แต่เลือกที่จะยืดหยุ่นให้ชีวิตไหลไปตามธรรมชาติ เพราะรู้ว่าการเปิดใจแม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เราเชื่อมต่อกับโลกได้ลึกกว่าการปิดใจอย่างเข้มแข็ง การเปิดใจไม่ใช่ความอ่อนแอ หากคือความกล้าที่จะยอมรับว่าเราควบคุมไม่ได้ทุกสิ่ง และยังเลือกที่จะเชื่อในความเป็นไปได้ของชีวิตอยู่ดี

            งานวิจัยของ Bagdžiūnienė และคณะ (2023) ยืนยันว่า ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Emotional resilience)เป็นทรัพยากรทางจิตที่มีคุณค่ามหาศาล โดยเฉพาะในวิชาชีพครู ซึ่งต้องเผชิญแรงกดดันทั้งจากระบบและผู้คนรอบตัว ผลการศึกษาพบว่าครูที่มีระดับความยืดหยุ่นทางอารมณ์สูง มักมีสุขภาวะทางใจ (well-being) ดีกว่า และสามารถรักษาพลังในการทำงานได้ยาวนาน แม้เผชิญอุปสรรคมากมาย

            กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าความยืดหยุ่นทางอารมณ์ไม่เพียงช่วยให้ครูอยู่รอดในระบบที่ซับซ้อน แต่ยังช่วยให้พวกเขา “อยู่ได้อย่างมีความหมาย” เหมือนร่มกันลมฝนของจิตใจ เมื่อพายุชีวิตพัดมา แทนที่เราจะต้องต่อสู้หรือหลบหนี เราเรียนรู้ที่จะโน้มตัวตามลม และตั้งตรงได้อีกครั้งเมื่อพายุนั้นผ่านไป ความยืดหยุ่นเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด แต่เกิดจากการเข้าใจความจริงของชีวิตว่า ไม่มีใครควบคุมทุกสิ่งได้ และบางครั้ง การยอมรับความไม่แน่นอนก็เป็นหนทางเดียวที่ทำให้เรายังคงเติบโตได้

            เมื่อเข้าใจเช่นนี้ การเชื่อใจจึงไม่ใช่เรื่องของความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว แต่คือผลลัพธ์ของหัวใจที่ผ่านการฝึกฝนให้ยืดหยุ่นและมั่นคงพอจะเปิดรับโลกตามที่มันเป็น “เมื่อใจเราเติบโตขึ้น เราไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบเพื่อให้เชื่อได้ แต่เราเลือกเชื่อเพราะเรารู้ว่าความสงบในใจมีค่ามากกว่าความหวาดระแวง” การเชื่อใจจึงไม่ใช่การฝากชีวิตไว้กับผู้อื่น แต่คือการประกาศว่า เรามีศรัทธาในความเข้มแข็งของตัวเอง ว่าต่อให้วันหนึ่งต้องเจ็บ เราก็ยังมีพลังจะลุกขึ้นอีกครั้งด้วยใจที่อ่อนโยนกว่าเดิม

            การเชื่อใจจึงไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ หากแต่คือความกล้าที่จะเปิดใจต่อความเป็นมนุษย์ ความเชื่อมั่นว่าแม้ในความไม่สมบูรณ์ของผู้คน ยังมีความตั้งใจดีบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ บางครั้งเราอาจผิดหวัง แต่การไม่กล้าเชื่อเลยต่างหากที่ทำให้หัวใจแห้งแล้งกว่านั้น เพราะความเชื่อใจไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยจากความเจ็บปวดเสมอไป ทว่ามันทำให้เรามีโอกาสได้สัมผัสความงดงามของการเป็นมนุษย์

            เมื่อเราเริ่มมองโลกด้วยสายตาแห่งศรัทธาแทนความระแวง เราจะพบว่าโลกไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไรนัก แต่ใจของเรานี้แหละที่เปลี่ยน จากการระวังทุกสิ่ง กลายเป็นการยอมรับทุกสิ่งด้วยความสงบ การเชื่อใจจึงกลายเป็นบทเรียนของการรักอย่างไม่กลัว การอยู่ร่วมอย่างไม่หวั่น และการมีชีวิตที่อ่อนโยนพอจะเข้าใจว่าทุกสิ่งเปลี่ยนได้ 

แต่ความดีงามในใจมนุษย์นั้น ยังมีให้เห็นเสมอ หากเราเปิดใจพอที่จะมองเห็นมัน

อ้างอิง

Bagdžiūnienė, D., Kazlauskienė, A., Nasvytienė, D., & Sakadolskis, E. (2023). Resources of emotional resilience and its mediating role in teachers’ well-being and intention to leaveFrontiers in Psychology, 14, Article 1305979. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2023.1305979

Sahdra, B. K., Shaver, P. R., & Brown, K. W. (2010). A scale to measure nonattachment: A Buddhist complement to Western research on attachment and adaptive functioning. Journal of Personality Assessment, 92(2), 116–127. https://doi.org/10.1080/00223890903425960

ความคิดเห็น