จากหลุมเดิมสู่ถนนใหม่: นิทานทิเบตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของใจ

“การเติบโต” ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เราลุกได้ทันที แต่มันเกิดขึ้นตอนที่เรารู้ว่า “เราเคยล้มที่เดิม”

            ผมอ่านหนังสือชื่อ The four-way path: A guide to Purushartha and India's spiritual traditions for a life of happiness, success, and purpose  ที่เขียนโดย เฮคเตอร์ การ์เซีย (Héctor García) และ ฟรานเซสก์ มีราเยส (Francesc Miralles)ในหนังสือได้กล่าวถึงนิทานทิเบตเก่าแก่เรื่องหนึ่งที่ท่านลามะโญชุล เคนโป เคยเล่าไว้  มันมีเพียงห้าท่อนสั้น ๆ แต่กลับอธิบายเส้นทางของการเติบโตทางใจของมนุษย์ได้ชัดเจนกว่าตำราหนังสือหลายเล่ม เนื้อหาใจความมีอยู่ว่า

ฉันเดินไปตามถนน มีหลุมลึกบนทางเท้า ฉันล้มลง ฉันหลงทาง... ฉันหมดหนทาง มันไม่ใช่ความผิดของฉัน ฉันใช้เวลาชั่วนิรันดร์กว่าจะหาทางออกได้

ฉันเดินไปตามถนนสายเดิม มีหลุมลึกบนทางเท้า ฉันแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ฉันล้มลงไปอีกครั้ง ฉันไม่เชื่อว่าตัวเองอยู่ใน ที่เดิม แต่มันไม่ใช่ความผิดของฉัน ยังคงใช้เวลานานมาก ที่จะออกมา

ฉันเดินไปตามถนนสายเดิม มีหลุมลึกบนทางเท้า ฉันเห็น มันอยู่ตรงนั้น ฉันยังคงล้มลง... มันเป็นนิสัย ฉันลืมตา ฉันรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันรีบลุกออกมาทันที

ฉันเดินไปตามถนนสายเดิม มีหลุมลึกบนทางเท้า ฉันเดิน อ้อมไป

ฉันเดินไปตามถนนอีกสายหนึ่ง

            เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอจะอธิบายวงจรชีวิตของเราได้ทั้งหมด

            ผมคิดว่านิทานทิเบตเรื่องนี้ ที่ลามะโญชุล เคนโป เล่าไว้  เป็นหนึ่งใน บทเรียนชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งที่สุด ที่เคยถูกถ่ายทอดมาในเชิงจิตวิทยาและพุทธปรัชญาเลยครับ

ฉันเดินไปตามถนนสายเดิม มีหลุมลึกบนทางเท้า ฉันเดิน อ้อมไป สุดท้ายฉันเดินไปตามถนนอีกสายหนึ่ง

            มันดูเหมือนนิทาน 5 บรรทัดธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วมันกำลังสรุป “กระบวนการตื่นรู้และเติบโตทางจิตใจของมนุษย์” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำได้อย่างไร ผมจะพยายามวิเคราะห์และแปลความหมายให้นะครับ

            1) หลุมแรก "ความไม่รู้" ตอนที่เราล้มครั้งแรก เราไม่รู้ว่าทำไมถึงล้ม เหมือนเวลาที่เราทุกข์ แต่ยังคิดว่าเป็นเพราะคนอื่น หรือโชคชะตา นี่คือช่วงของ อวิชชา (ความไม่รู้ที่ยังมืดอยู่ในใจ) ที่ทำเรายังมองไม่เห็นกลไกที่สร้างความเจ็บปวดขึ้นในตัวเอง

            2) หลุมเดิม "การปฏิเสธ" ครั้งต่อมา เราเห็นหลุมอยู่ตรงหน้า แต่ทำเป็นมองไม่เห็น เพราะการเผชิญหน้ากับความจริงอาจทำให้เราต้องยอมรับบางอย่างที่เจ็บเกินไป ในจิตวิทยา นี่เรียกว่า Denial เป็นกลไกการป้องกันตัวจากสิ่งที่จิตยังไม่พร้อมจะรับรู้

            3) การล้มอย่างมีสติ เรารู้แล้วว่า “นี่เป็นนิสัยของฉันเอง” นี่คือช่วงสำคัญที่สุด  เพราะเป็นครั้งแรกที่เราหยุดโทษโลก และเริ่มมองกลับเข้ามาภายใน การรู้ว่า “ฉันกำลังตกหลุมเพราะความคิดเดิม ๆ ของตัวเอง” คือจุดเริ่มต้นของการเติบโตทางใจ เรายังล้มเหมือนเดิม แต่ล้มอย่างรู้ตัว และนั่นคือความแตกต่างที่เปลี่ยนทุกอย่าง

            4) การเลือกเดินอ้อม "เรายังอยู่บนถนนสายเดิม แต่เราเริ่มใช้ปัญญาแทนอารมณ์" นี่คือจุดที่พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยน เพราะเรารู้แล้วว่า การไม่ตกหลุมดีกว่าการพยายามปีนขึ้นซ้ำ ๆ ในเชิงจิตวิทยา นี่คือช่วงของการ ปรับรูปแบบความคิด (Cognitive Restructuring) กล่าวคือเป็นช่วงที่เราเริ่มออกจากวงจรเดิมด้วยสติ ไม่ใช่ด้วยแรงหนี

            5) ถนนใหม่ การตื่นรู้ ไม่ใช่เพราะหลุมหายไป แต่เพราะเราไม่จำเป็นต้องอยู่กับหลุมเดิมอีกต่อไป นี่คือ “การหลุดพ้นเชิงจิตวิญญาณ”  เมื่อเราไม่ต้องใช้พลังทั้งหมดไปกับการหลีกเลี่ยงหรืออดทน แต่เริ่มใช้พลังนั้นไปกับการ “เลือกเส้นทางที่เกื้อกูลกับใจตัวเอง” ในทางพุทธ นี่คือ นิโรธ  การดับทุกข์ด้วยปัญญา ไม่ใช่การหนีทุกข์ด้วยความกลัว

            นิทานนี้ดูเหมือนเล่าชีวิตคนธรรมดา แต่แท้จริงแล้วคือ แผนที่ของจิตใจในกระบวนการเปลี่ยนแปลง (The Map of Inner Change) มันสอนเราว่า “การเติบโต” ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เราลุกได้ทันที แต่มันเกิดขึ้นตอนที่เรารู้ว่า “เราเคยล้มที่เดิม” แล้วเลือกจะไม่ซ้ำรอยเดิมอีก แต่คือการ “ล้มลงช้าลง ลุกขึ้นเร็วขึ้น และเจ็บน้อยลงทุกครั้ง” จนวันหนึ่ง เราไม่ต้องมีหลุมให้หลีกอีกต่อไป  เพราะเราเลือกถนนใหม่ด้วยหัวใจที่ตื่นรู้แล้ว 

บางครั้ง การเติบโตไม่ได้เริ่มจากการได้สิ่งใหม่ แต่เริ่มจากการกล้าจากสิ่งเดิมที่ทำให้เราตกซ้ำ ๆ

อ้างอิง

García, H., & Miralles, F. (2024). The four-way path: A guide to Purushartha and India's spiritual traditions for a life of happiness, success, and purpose. TarcherPerigee.

ความคิดเห็น