ทำไมเราถึงต้อง ถ่อมตน (Humility)

            ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า "เราควรอ่อนน้อมถ่อมตน" แล้วคุณคิดว่าเราควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ สำหรับผมคิดว่ามันไม่จำเป็นจะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน  แต่เราควรจะมีความถ่อมตนเพียงอย่างเดียว  เพราะความอ่อนน้อม (Modesty) เป็นการที่บุคคลแสดงพฤติกรรมที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ฟังเหมือนจะดูดี เพราะทุกคนมักจะชอบคนที่ดูเจียมตัว แสดงความเคารพต่อเอง  เป็นการตอบสนองสัญชาตญาณความอยากเป็นคนสำคัญของมนุษย์  การที่มีคนแสดงความอ่อนน้อมจึงเป็นการแสดงถึงการอยู่ใต้ผู้อื่น แต่คำถามคือเราชอบอ่อนน้อมต่อคนอื่นมั่ย  ผมคิดว่าหลายคนคงจะตอบว่าไม่!  แล้วการถ่อมตน (Humility) แล้วมันแตกต่างอย่างไรกับการอ่อนน้อม

            การถ่อมตน (Humility) หมายถึง การที่เราเลือกลดอัตตาของตัวเองให้เล็กลง เป็นทัศนคติที่ถูกสร้างมาจากการเรียนรู้ความเป็นจริงของโลกใบนี้  ความจริงที่ว่าโลกใบนี้มีสิ่งให้เรียนรู้มากมาย และคนรอบ ๆ ตัวเราก็มักจะมีคนที่มีความสามารถเก่งกว่าเราบางด้านเสมอ ทุกคนมีคุณค่า เราจึงไม่จำเป็นต้องแสดงอัตตาของเรามากจนเกินไป  ซึ่งแตกต่างกับการอ่อนน้อม (Modesty) ที่เรากดคุณค่าของตนเองและยกย่องผู้อื่น  

            อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าคนถ่อมตนจะไม่สามารถแสดงถึงคุณค่าในตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง หรือ ความสำเร็จออกมาได้เลย เราสามารถแสดงออกมาได้ แต่เลือกแสดงออกแบบไม่มากจนเกินไป เพราะว่า มนุษย์ทุกคนผิดพลาดอยู่เสมอ ทุกอย่างย่อมไม่แน่นอน ความสำเร็จและความสุขไม่ยั่งยืน ทุกสิ่งสามารถเสื่อมไปได้ตามกาลเวลา นั้นจึงเป็นการที่เราหดตัวเราเล็กลงเพื่อเรียนรู้ ทำความเข้าใจโลกใบนี้ให้มากขึ้น นั้นคือการถ่อมตน


ทำไมเราถึงจำเป็นต้องถ่อมตัว

            จากข้อความด้านบน ทุกท่านคงจะเห็นด้วยกับผมว่าเราควรถ่อมตน แต่ผมอยากนำเสนอเมุมมองในความเห็นผมว่าทำไมเราทุกคนถึงควรถ่อมตน เพิ่มเติมจากข้อความข้างต้น โดยผมจะอธิบายเป็น 3 มุมมองดังนี้

            1. เพราะว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กจิ๋ว  ในวันที่ยาน Voyager 1 กำลังจะเดินทางออกนอกระบบสุริยะ Carl Sagan นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคนหนึ่ง ได้ขอให้ทีมงานช่วยหันกล้องของยานกลับมายังโลกในขณะที่ยานกำลังจะเดินทางเลยจากโลกไปไกลแสนไกล  ภาพที่ได้มาเป็นภาพ "จุดเล็ก ๆ" เท่านั้น แต่ Carl Sagan ได้บรรยายภาพนั้นอย่างสุดซึ้ง โดยเขาได้บรรยายถึงดาวดวงนี้ที่มนุษย์ทุกคนเคยมีตัวตน มีสุข และทุกข์ ศาสนา แนวคิด ระบบเศรษฐกิจ นักล่าและหัวขโมย วีรบุรุษและคนขี้ขลาด เหล่านักสร้าง และนักทำลาย ทุกคนในประวัติศาสตร์ของเราอาศัยอยู่ที่นี้ บนฝุ่นผงที่ลอยเคว้งท่ามกลางแสงอาทิตย์ โลกของเรา เป็นดั่งเวทีเล็ก ๆ ท่ามกลางโรงละครแห่งจัการวาลอันกว้างใหญ่ จินตนาการถึงเลือดเนื้อที่หลั่งไหล เชือดเฉือนโดยเหล่านายพลและจักรพรรดิ ที่หวังความรุ่งโรจน์เพียงชั่วคราวบนเศษเสี้ยวแห่งฝุ่นผง  เคยมีคนพูดไว้ว่าดาราศาสตร์นั้นทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ผมขอเพิ่มว่ามันคือการเข้าถึงตัวตน  คงไม่มีสิ่งใดที่จะแสดงความโง่เขลาของความคิดมนุษย์ไปได้มากกว่าภาพถ่ายโลกของเราจากระยะไกลนี้ มันคือความรับผิดชอบของเรา ที่จะถ้อยที ถ้อยอาศัยต่อกันและกัน  

            ผมย่อบทบรรยายให้สั้นลงโดยทุกท่านสามารถหาดูได้จากคลิปของWiTcast  กล่าวคือ โลกนี้มันก็เป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ฝุ่นฝงในจักรวาล ความสับสนวุ่นวายแห่งประวัติศาสตร์มนุษย์ เป็นเพียงเศษเสี้ยวผงธุลีแห่งจักรวาล  ดังนั้นไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำตัวยิ่งใหญ่อยู่เหนือคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ในความจริงเราก็ตัวเล็กจิ๋ว  เราจึงควรถ่อมตัวต่อกันและกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย นึกถึงจิตใจคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา เพื่อให้โลกนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น

            2. เพราะทุกคนล้วนมีความภูมิใจในตนเอง  เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกคนล้วนมีควมภูมิใจในตนเอง มีคุณค่าในตนเอง คนที่รู้สึกว่าขาดความภูมิใจ ก็จะพยายามโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวที่จะแสดงออกเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชม  เช่น เพื่อนร่วมงานที่บอกว่าตนเองทำงานเยอะมาก  หรือพูดถึงความสามารถของตนเองบ่อยครั้ง  หรือพูดถึงผลการเรียนในอดีตบ่อยครั้ง  ตัวอย่างที่ผมยกมาเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป บางคนทำโดยรู้ตัว บางคนทำโดยไม่รู้ตัว เพื่อการยอมรับจากผู้อื่น  ในหนังสือ How to Win Friends and Influence เขียนโดย Dale Carnegie เขาได้อธิบายถึงคำกล่าวของนักจิตวิทยา/นักปรัชญา ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับความต้องการความภูมิใจ เช่น  

            William James กล่าวว่า "กฎของธรรมชาติมนุษย์ที่ลึกที่สุด คือ ความกระหายอยากได้รับการชื่นชม"  

            Sigmund Freud กล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำ เกิดจากแรงจูงใจ 2 อย่าง คือ ความต้องการทางเพศ และความต้องการเป็นคนยิ่งใหญ่"  

            John Dewey กล่าวว่า "ความต้องการที่อยู่ในใจลึก ๆ ในธรรมชาติมนุษย์ คือ ความต้องการที่จะเป็นคนสำคัญ" 

            สิ่งที่สอดคล้องกันของคำกล่าวทั้ง 3 ท่านคือ มนุษย์ต้องการเป็นคนสำคัญ ต้องการได้รับการยอมรับ ดังนั้น การที่เราถ่อมตัวให้ผู้อื่น มันแสดงถึงการที่เรายอมรับกับผู้นั้นในเชิงจิตวิทยา กล่าวคือ เราแสดงให้เห็นว่าเขาคนนั้นสำคัญ ซึ่งไปกระตุ้นต่อมความภาคภูมิใจของมนุษย์ให้เกิดปฏิกิริยา ทำให้เขาเกิดความมีคุณค่า สำคัญ และภูมิใจ ยิ่งไปกว่านั้น Charles M. Schwab ได้แนะนำวิธีการที่จะพัฒนาคนให้ถึงจุดที่ดีที่สุดได้ โดยวิธีการชื่นชมและให้กำลังใจ  การลดอัตตาตนเอง และแสดงถึงความภูมิใจในผู้อื่น ยังเป็นกลยุทธิ์ที่มีค่าในการได้ใจคน

            ผู้อ่านทุกท่านอาจจะกำลังสงสัยว่า "แล้วทำไมต้องทำให้คนอื่นภูมิใจด้วย มันมีความจำเป็นอะไร" เราลองมาดูข้อ 3 ต่อเลย แล้วจะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น

            3. เพราะชีวิตของเราทุกคนมันไม่ได้ดีอย่างที่หวังไว้  มันอาจจะดูเป็นความเห็นที่แง่ลบหน่อย ๆ แต่ในความจริงแล้วสภาพแวดล้อมของเราก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ  (เรื่องดี ๆ ก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน) ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน การบริหารของรัฐบาลที่แย่ การเอารัดเอาเปรียบของคนในสังคม ความรุนแรงของความแตกแยกทางความคิด  หรือในสภาพแวดล้อมที่เล็กกว่านั้น เช่น ในที่โรงเรียน มีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้น การใช้อำนาจของคุณครูเกินเหตุของคุณครู  หรือสถานที่ทำงาน เช่น เพื่อนร่วมงานทำตัวเสื่อมทราม น่ารังเกียจ เฮงซวย  

            ในหนังสือ The Asshole Survival Guide ที่เขียนโดย Robert Sutton อธิบาย"คนเฮงซวย"เอาไว้ว่า เป็นคนที่หยาบคาย ช่างเย้ยหยัน และดูถูกคนอื่น ทำให้รู้สึกคับแค้น ต่ำต้อย ไร้เกียรติ หรือหมดพลัง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ยังทำให้สิทธิภาพในการทำงานลดลง ไม่ว่าจะเป็นทักษะการตัดสินใจ การสร้างงาน ความคิดสร้างสรรค์ และความกระตือรือร้น ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิบัติกับคนอื่น ๆ เหมือนกับว่าพวกเขาไร้ค่า น่ารังเกียจยังติดต่อถึงกันและกันได้อีกด้วย กล่าวคือถ้าเราทำงานกับคนเฮงซวย มีแนวโน้มที่เราจะกลายเป็นคนแบบนั้นด้วยเช่นกัน 

            ความแย่ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด มันคือความผิดหวังในการดำเนินชีวิตบนสังคม ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไรก็ตาม ทำให้เรารู้สึกแย่ ผิดหวัง เบื่อชีวิต ซึ่งเราทุกคนล้วนรู้สึกแบบนั้นไม่มากก็น้อย  การที่เราถ่อมตัวกับคนอื่น ทำให้คนอื่นได้รู้สึกดี รู้สึกสำคัญ ได้ภูมิใจบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นเหมือนไออุ่นในฤดูหนาวอันโหดร้าย  มันแสดงออกถึงความใจดีต่อกันและกัน

            สรุปจาก 3 มุมมอง มีดังนี้ 1) เพราะว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กจิ๋ว คือ การที่เราเป็นสื่งมีชีวิตเล็กมากในจักรวาลที่กว้าง 2) เพราะทุกคนล้วนมีความภูมิใจในตนเอง คือ การที่เราทุกคนต้องการเป็๋นคนสำคัญ ต้องการได้รับความภาคภูมิใจ การมถ่อมตนจึงเป็นการที่เราแสดงออกถึงการมีคุณค่าของผู้อื่น 3) เพราะชีวิตของเราทุกคนมันไม่ได้ดีอย่างที่หวังไว้ คือการที่ชีวิตมันเฮงอยู่แล้วในทุกสิ่งแวดล้อม เราจึงควรจะใจดี ถ่อมตนต่อกันและกันเอาไว้ 

            การถ่อมตัว จึงเป็นการแสดงออกมาจากทัศนคติไม่ใช่ท่าทีการแสดงออก แตกต่างจากการอ่อนน้อม ที่แสดงออกมาให้เห็นในภายนอก  กล่าวคือ หากเราเข้าใจและยอมรับมุมมองทั้ง 3 ข้อ  เราก็จะสามารถปรับทัศนคติให้อ่อนน้อมต่อผู้อื่นได้ นอกจากนั้นมันยังเป็นการสร้างความเข้าอกเข้าใจต่อผู้อื่น (Empathy) อีกด้วย (สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Empathy ได้จากตรงนี้) สุดท้ายผมอยากจะบอกกับทุกท่านว่า ทุกคนมีข้อดีเสมอ มีคุณค่าในตนเอง มีความภาคภูมิใจในตนเอง มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราถึงต้องรู้จักถ่อมตัวกับผู้อื่น อย่างที่ Ralph Waldo Emerson ได้กล่าว่า 
"คนทุกคนที่ผมพบ เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถดีกว่าผมในบางเรื่อง ซึ่งผมจะได้เรียนรู้สิ่งนั้นจากพวกเขาเสมอ"
อ้างอิง

Carnegie, D. (1998). How to Win Friends and Influence People. (First Published October 1936). NY: Gallery Books.

Sutton, R. (2017). The Asshole Survical Guide: How to Deal with People Who Treat Yout Like Dirt. MS: Houghton Mifflin Harcourt.

ความคิดเห็น