ความไม่สบายใจ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับเราทุกคน และมีข้อดีซ่อนอยู่

ราจำเป็นต้องหาทางประนีประนอม 
กับความรู้สึกของตัวเราเอง แม้เราจะไม่พอใจ 
ธรรมชาติในตัวของเราหลายอย่าง

            ความไม่สบายใจ คือความรู้สึกเชิงลบที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกโกรธ กังวล เศร้า กลัว เครียด ขัดแย้ง หรือความรู้สึกทุกข์อื่น ๆ  ซึ่งแต่ละคนจะมีสาเหตุของความไม่สบายใจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ มากมาย บางคนอาจจะมีความเปราะบางอันเป็นผลจากประสบการณ์ในวัยเด็ก ยกตัวอย่างเช่น โดนกลั่นแกล้ง โดนดูถูกเหยียดหยาม ทั้งจากที่โรงเรียนและครอบครัว หรือการโดนกดดันด้านผลการเรียนและด้านอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้จิตใจของเราเปราะบาง และทำให้ "ภูมิคุ้มกันต่อปัญหา" ลดลง แตกต่างกับคนที่เผชิญประสบการณ์เลวร้ายในอดีตที่ไม่มาก

            อย่างไรก็ตาม แม้คนที่มีประสบการณ์เลวร้ายในอดีตน้อยกว่าคนอื่น ก็มีความไม่สบายใจเกิดขึ้นอยู่ดี เพราะเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากสภาพสังคมในปัจจุบันที่อยู่ในระบอบทุนนิยมซึ่งบีบให้ผู้คนต้องแข่งขัน เอารัดเอาเปรียบ สร้างเงินทองหรือความสำเร็จเพื่อนำมาเติมเต็มความพึงพอใจของตนเอง หรือเพื่อทดแทนความไม่สบายใจที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา อีกทั้งมนุษย์ยังมีสัญชาตญาณที่อยากเป็นคนสำคัญ อยากได้รับการยอมรับ ซึ่งสัญชาตญาณนี้สอดรับกับความเป็นทุนนิยมอย่างดี ทำให้เหมือนเป็นคันเร่งให้พฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบหรือแข่งขันมากขึ้นไปกว่าที่ควรจะเป็น

            ด้วยการแข่งขันอย่างไร้ความหมาย จึงไม่แปลกที่เราทุกคนจะเกิดความไม่สบายใจ ซึ่งจะกลายเป็นเสียงในใจเชิงลบ ทำให้เรารู้สึกแย่และเจ็บปวดมากกว่าเดิม ยิ่งนานวันยิ่งทำร้ายสิ่งที่มีค่าของเราไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ความหวัง หรือความสัมพันธ์ในชีวิต อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้วเสียงในใจเชิงลบ หรือความไม่สบายใจก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่อย่างเดียวเสมอไป บทความนี้ผมจึงอยากนำเสนอให้ผู้อ่านทุกคนเข้าใจว่า "ความไม่สบายใจ" เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน มีทั้งข้อเสีย และมีข้อดีที่ซ่อนไว้อยู่เช่นกัน

ความไม่สบายใจเป็นเรื่องปกติ

            อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าสัญชาตญาณที่อยากเป็นคนสำคัญ และอยากได้รับการยอมรับของเราทุกคน ไปกระตุ้นให้พฤติกรรมของเราให้ดิ้นรนแข่งขัน หรือเอารัดเอาเปรียบมากขึ้น ซึ่งมีระบอบทุนนิยมเป็นตัวเร่งให้ดุเดือดมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เราทุกคนเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกโกรธ กังวล เศร้า กลัว เครียด ขัดแย้ง หรือความรู้สึกทุกข์อื่น ๆ กล่าวคือ ความไม่สบายใจเป็นผลมาจากอารมณ์เชิงลบ ซึ่งรบกวนการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของเราทุกคนอย่างยิ่ง ซึ่งความไม่สบายไจโดยส่วนใหญ่เกิดมาจากการย้อนกลับไปหาอดีต หรือจินตนาการไปถึงอนาคต

            แม้ในหลาย ๆ วัฒนธรรมจะยกย่องแนวคิดการใช้ชีวิตโดยอยู่กับปัจจุบัน แต่เผ่าพันธุ์ของเราไม่ได้วิวัฒนาการเพื่อให้เราอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา ตรงกันข้าม เราพัฒนาความสามารถในการมองไปยังอนาคตขึ้นมา และยังสามารถลำลึกหาอดีตได้ด้วยความคิด ความทรงจำ โดยขับเคลื่อนผ่านเสียงในใจของเรา ซึ่งทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในหัว คิดไตร่ตรองเพื่อตัดสินใจ ควบคุมอารมณ์ อีกทั้งเรายังสามารถใช้จินตนาการถึงความเป็นไปในอนาคต เตือนให้เรามุ่งไปยังเป้าหมายที่วางเอาไว้หรือทำในสิ่งที่เราใฝ่ฝัน

            แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความคิด ความทรงจำ และจินตนาการ สามารถทำให้มนุษย์เราเกิดความรู้สึกเชิงลบต่อสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ ยกตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในปัจจุบันและทำทีท่าว่าจะไม่หมดไปเร็ว ๆ นี้แน่นอน มันทำให้เราคิดว่าเราอาจจะสามารถติดโรคนี้ได้ ถ้าเราติดแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง หรือในกรณีที่ป่วยเป็นมะเร็ง หรือโรคร้ายอื่น ๆ เราจะทำอย่างไรดี จะเอาเงินที่ไหนไปรักษา และแม้ว่าเราจะมีเงินในระดับหนึ่งความกังวลก็จะไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ อยู่ดี 

ความไม่สบายใจสามารถเกิดขึ้นกับเราทุกคน ทุกฐานะการเงิน ผ่านความคิด ความทรงจำ และจินตนาการ

ข้อดีหรือประโยชน์ของความไม่สบายใจ

            ไม่ว่าเราจะมีความเปราะบางทางจิตใจจากประสบการณ์ในวัยเด็ก โดนกลั่นแกล้ง โดนล้อเลียน โดนต่อว่าดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือในทางกลับกันเราอาจจะไม่เคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายในแบบนั้นก็ตาม แต่เราทุกคนต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับความไม่สบายใจหรือความรู้สึกเชิงลบอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธ และความทุกข์ มันทำให้เราเกิดเสียงในใจที่จะบั่นทอนความสุขในชีวิตของเรา แต่สิ่งที่เราลืมพิจารณาไปก็คือหากเรามีความรู้สึกดังกล่าวในปริมาณที่พอเหมาะมันจะกลายเป็นข้อดีหรือประโยชน์สำหรับเรา

            เพราะความรู้สึกกลัว วิตกกังวล โกรธ หรือทุกข์ในปริมาณที่พอเหมาะสามารถขับเคลื่อนให้เราตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์คนที่อยู่รอบ ๆ หรือการสอบที่กำลังจะมาถึง  ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวต่างทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ ยกตัวอย่างเช่น "ดูท่าทางเขากำลังโกรธเหมือนไปโมโหใครขึ้นมา" หรือ "ใกล้วันสอบแล้วจะต้องเตรียมอ่านหนังสืออย่างไรดี จะเตรียมตัวทันมั้ย" 

            การคาดการณ์ถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้เราหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปไกล้ หรือไปกวนอารมณ์ให้มันขุ่นมัวไปมากกว่านี้ หรือการกังวลก่อนถึงวันสอบ ก็อาจทำให้เราขยันอ่านหนังสือมากขึ้นเพราะเรากลัวว่าจะสอบตก หรือจะทำข้อสอบไม่ค่อยได้ กล่าวคือ ความรู้สึกไม่สบายใจมันช่วยเตือนให้เรารู้ถึงอันตรายและส่งสัญญาณให้เราทำอะไรสักอย่างกับมัน 

กระบวนการนี้มีเพื่อให้เราอยู่รอด เป็นแต้มต่อที่สำคัญอย่างมากของมนุษย์ตั้งแต่ในอดีต

            หากเราเกิดมามีความผิดปกติทางพันธุกรรมจนไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ มันจะทำให้เราจากไปก่อนวัยอันควร ลองพิจารณาดูว่าทุกวันนี้เราไม่สบายตัวเมื่อเกิดการติดเชื้อ แผลจากน้ำร้อนลวก หรือความทรมานจากกระดูกหัก หากเราไม่มีความรู้สึกต่อความเจ็บปวดเหล่านี้ เราจะไม่สามารถเซฟตัวเองจากความเจ็บปวดระยะยาวไปจนถึงการรักษาชีวิตได้เลย เพราะเราจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังต้องการความช่วยเหลือ หรือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแค่ไหน

            นอกจากความไม่สบายใจจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนแล้ว ความไม่สบายใจยังทำให้เราเกิดการเรียนรู้ที่สำคัญในการใช้ชีวิตอีกด้วย เพราะมันจะสามารถทำให้เราปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ มันเป็นการตระหนักว่าเรากำลังตกอยู่ในวิกฤตแล้วหรือกำลังแย่อยู่ เราจึงจะต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะความไม่สบายใจนั้นจะเป็น ความกลัว ความโกรธ ความวิตกกังวล หรือความรู้สึกเชิงลบอื่น ๆ ก็ตาม 

            มนุษย์จึงไม่สามารถขาดความรู้สึกเชิงลบหรือความไม่สบายใจได้เลย เพราะมันจำเป็นสำหรับการมีชีวิตรอดและมีข้อดีในตัวของมันดังที่ได้กล่าวมา หากเราอยากจะมีชีวิตที่มีความสุข เราจำเป็นต้องหาทางประนีประนอมกับความรู้สึกของตัวเราเอง แม้เราจะไม่พอใจธรรมชาติในตัวของเราหลายอย่าง แต่มันก็คือธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่เป็นไปโดยไม่สามารถไปควบคุมได้แบบเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ที่เราพยายามจะควบคุม ธรรมชาติก็จะโต้กลับอย่างรุนแรง

            ดังนั้นเวลาที่เรารู้สึกโกรธ กังวล เศร้า กลัว เครียด ขัดแย้ง หรือความรู้สึกทุกข์อื่น ๆ ให้เราพยายามทำความเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องเกิดอารมณ์นั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น "เรารู้สึกเสียใจมากที่เราพูดจาด่าว่าเพื่อนร่วมงานรุนแรงขนาดนั้น" เพราะหากเราวิเคราะห์ดูการที่เราไม่สบายใจมันบ่งบอกว่าเรารู้สึกเห็นอกเห็นใจ และรู้สึกผิด ดังนั้นเราจะต้องไม่ทำแบบนี้อีกและไปขอโทษกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หรือ "เวลาที่เราเครียดกับการสอบ" เราจะต้องหาวิธีเตรียมตัวอย่างมีประสิทธิภาพให้มากกว่านี้เพื่อให้ลดความกดดันลง หรือหาวิธีเสริมสร้างความมั่นใจให้มากขึ้นกว่าเดิม

            ในวรรณกรรมชื่อ Kafka on the Shore ฮารูกิ มูราคามิ กล่าวว่า "และเมื่อพายุจบสิ้นลง คุณจะจำไม่ได้ว่าผ่านมันมาได้ยังไง รอดชีวิตมาได้ยังไง จริง ๆ แล้ว คุณไม่แน่ใจกระทั่งว่าพายุจบสิ้นลงแล้วหรือยัง แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณมั่นใจ เมื่อคุณออกจากพายุนั้นมาแล้ว คุณจะไม่ใช่คนเดิม คนที่เดินเข้าไปในนั้น และนั่นคือคุณค่าของพายุ" เราสามารถตระหนักถึงข้อดีหรือประโยชน์ของความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นได้ แม้มันจะเป็นความรู้สึกในแง่ลบที่บั่นทอนเราก็ตาม 

แต่ถ้าเราสามารถเรียนรู้ไปกับมันได้ 
เราก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้เจริญก้าวหน้า 
และมีความสุขกับปัจจุบันได้อย่างเต็มที่

อ้างอิง

Haig, M. (2016). Reasons to Stay Alive. NY: Penguin Life.

Kross, E. (2021). Chatter: The Voice in Your Head, Why It Matters, and How to Harness It. NY: Crown.

คาลอส บุญสุภา. (2564). การเติบโต เรียนรู้ เพื่อก้าวผ่านความทุกข์. https://sircr.blogspot.com/2021/08/blog-post.html

ความคิดเห็น