อดีตเป็นวัตถุดิบสำคัญที่เราสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความเข้าใจในตัวของผู้คนได้
ผู้อ่านทุกท่านคิดว่า คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ครับ คำถามนี้เป็นข้อถกเถียงกันมานานแสนนาน แต่ในปัจจุบันมีการค้นพบความยืดหยุ่นของสมอง (Neuroplasticity) หรือความสามารถในการปรับเปลี่ยนของสมองจะถูกกระตุ้นผ่านประสบการณ์บางอย่าง สมองจะเปลี่ยนแปลงไปตามการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฝึกเล่นเปียโน
โครงข่ายประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเปียโนจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมันถูกกระตุ้นโดยการฝึกเล่นเปียโนความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามประสบการณ์เหล่านี้จะแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นฝีมือการเล่นเปียโนที่เก่งขึ้น ความยืดหยุ่นของสมองในแง่นี้เป็นเรื่องที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า "การทำซ้ำ ๆ นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง" และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการฝึกฝนกีฬา ศิลปะ และวิชาการสามารถนำไปสู่การพัฒนาได้
แต่ในกรณีที่เป็นฆาตกรล่ะ คนที่ครั้งหนึ่งเคยฆ่าชีวิตคนมาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ คำตอบก็คือ "ได้" เพราะ ชากา ซีงออร์ (Shaka Senghor) คือหนึ่งในคนที่สามารถพลิกชีวิตของตัวเองจากฆาตกรกลายมาเป็นอาจารย์วิทยาลัย และนักเรียนผู้ให้แรงบัลดาลใจกับบุคคลที่เผชิญกับช่วงชีวิตอันแสนยากลำบาก หรือได้ทำผิดพลาดตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย ไปจนถึงเรื่องที่เลวร้ายอย่างการฆ่าชีวิตผู้คน
ในปี 2015 โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) ได้สัมภาษณ์ชาก้า ซีงออร์ ชายผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่ได้ไต่ตรองไว้ก่อนตอนอายุ 19 ปี เขารับโทษจำคุก 19 ปี ซึ่งมีการถูกขังเดี่ยวนานถึง 7 ปี ในช่วงเริ่มเข้าไปรับโทษชากาโมโหร้ายและใช้ความรุนแรง เขาจมดิ่งลงไปในระบบที่ไม่สนใจการเตรียมความพร้อมเพื่อวันหนึ่งเขาจะกลับมาสู่โลกภายนอก
แต่หลังจาก 6 ปีที่อยู่หลังลูกกรงเหล็ก ก็มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป พฤติกรรมของชากาก็เริ่มเปลี่ยน ในห้องขังแคบ ๆ ขนาดห้าคูณเจ็ดฟุต เขาเริ่มฝึกทำสมาธิ อ่านหนังสือ จดบันทึก และเขียนอย่างบาง ซึ่งในที่สุดก็กลายมาเป็นหนังสือบันทึกประสบการณ์ชีวิตขายดี เรื่อง Writing My Wrongs คำถามก็คืออะไรที่ทำให้เขามาอยู่จุดนี้ และเขาพลิกชีวิตตัวเองได้อย่างไร
ชากา ซีงออร์ (Shaka Senghor) ชายผู้เปลี่ยนแปลงตัวเองจากฆาตกรสู่ชีวิตที่มีคุณค่า |
ในหนังสือ What Happened to You? โอปราห์ได้เล่าว่า "ครั้งแรกที่ฉันเห็นรูปถ่ายของชากาบนปกหนังสือ ฉันก็นึกสงสัยขึ้นมา ชายผู้ถูกตัดสินว่าเป็นฆาตกร ร่างกายเต็มไปด้วยรายสัก และทำผมทรงเดรดล็อกคนนี้ จะมีอะไรมาสอนฉันได้ แต่กลายเป็นว่าบทสนทนาของเรา คือหนึ่งในการสนทนาที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยมี"
ชากามีชื่อตอนเกิดว่า เจมส์ ไวท์ เขาเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางในเมืองดีทรอยต์ พ่อของเขาเป็นกองกำลังสำรองกองทัพอากาศ ทำงานให้กับรัฐมิชิแกน แม่ของเขาอยู่บ้านกับเจมส์และพี่น้องของเขาอีกห้าคน ตอนเด็ก ๆ เจมส์เรียนเก่งระดับเกรดเอรวด และฝันว่าโตขึ้นอยากเป็นหมอ
ตลอดการเติบโตของเขามันเต็มไปด้วยการเฆี่ยนตีหรือการลงโทษเสมอ แม้แม่ของเขาจะบอกว่า "ที่แม่ทำแบบนี้ก็เพราะรักแกนะ" ตอนเก้าขวบ เย็นวันหนึ่งเขากลับมาจากโรงเรียนตื่นเต้นที่ได้รับผลสอบเอบวก และหวังว่าแม่จะต้องดีใจไปกับเขา แต่แทนที่จะเป็นแบบนั้น แม่กลับขว้างกาน้ำใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราด มันกระแทกกระเบื่องผนังครัวข้างหลังเขาจนแตก
ชากาจึงเรียนรู้ที่จะฝังกลบอารมณ์ของตนเองเอาไว้ และจำใจยอมรับพฤติกรรมแบบนั้น ไม่เพียงแค่นั้นชีวิตแต่งงานของพ่อแม่ในช่วงห้าปีสุดท้ายก็คลอนแคลน เขาใจสลายเมื่อพ่อแม่แยกกันอยู่ และร่าเริงยินดีเมื่อพ่อแม่กลับมาอยู่ด้วยกัน เขาใจแป้วและใจฟูวนอยู่แบบนี้ซ้ำ ๆ จนในที่สุดพ่อแม่ก็หย่าร้างกัน ชากาเหนื่อยหน่ายกับการถูกหักหลัง จนกระทั่งเขาได้สร้างกำแพงทางอารมณ์ขึ้นมา
ชีวิตของกาชาผลิกผันจากเด็กเรียนเก่งได้เอรวด กลายมาเป็นเด็กเกเรข้างถนน ไม่มีเลยสักคนที่จะถามเขาว่า "เธอเจอเรื่องอะไรมา" หรือ "ทำไมถึงทำตัวแบบนี้" ไม่มีผู้ใหญ่สักคนเดียวที่สังเกตหรือใส่ใจ ว่าหนุ่มน้อยคนนี้หลงทางไปไกลแค่ไหนแล้ว เมื่อไม่ได้รับการยอมรับและหัวใจที่แตกสลาย เขาแสวงหาการปกป้องและการยอมรับจากชีวิตข้างถนน เขาเริ่มแสดงพฤติกรรมแย่ ๆ ทั้งมีเรื่องชกต่อย ไม่ทำการบ้าน หนีออกจากบ้าน
เมื่อเขาอายุได้ 14 ปี ชากาก็ขายยาเสพติด งัดแงะบ้านช่อง และขโมยของในร้านค้า หลังจากถูกยิงตอนอายุ 17 ปี เขาก็เริ่มพกปืนติดตัวตลอดเวลา เขาอยู่ในวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่ตอกย้ำตลอดเวลาว่าคุณค่าของชายหนุ่มคือการมีเงินมีทอง ได้รับความสนใจ และได้ชื่อว่าเป็น "ผู้ชายเลว ๆ"
ชากาเล่าว่า "ในพื้นที่นั้น ผมรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ ผมรายล้อมไปด้วยเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ ที่เปราะบางและแหลกสลาย พวกเรามารวมตัวกันเพราะความแหลกสลายของเรา ผมคิดว่านี่คือการสนับสนุนกันและกัน นี่คือความรัก นี่คือการที่เราจะคอยช่วยนาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ในหนังสือ What Happened to You? โอปราห์ล่าถึงการสัมภาษณ์ชากาว่า "แต่คุณไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งที่อยากเป็นหมอหรอกหรือ แล้วทำไมตอนเด็ก ๆ ถึงอยากเป็นหมอ เขานิ่งไปเกือบครึ่งนาที มันนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์สำหรับเวลาของรายการทีวี" จนสุดท้ายชากาก็ตอบว่า "แม่ของผมน่ารักเสมอ ตอนที่เธอพาผมไปหาหมอ คงเพราะผมจินจนาการไปว่าถ้าผมได้เป็นหมอ แม่คงจะดีกับผม"
โอปราห์เล่าว่า มันคือการสัมภาษณ์ที่สะเทือนใจอย่างมาก หนุ่มน้อยคนหนึ่งกำลังสับสนและถูกปฏิเสธจากผู้ที่ต้องเลี้ยงดูเขา เขาเพียงต้องการการยอมรับและความรักจากแม่ของเขาเท่านั้นเอง แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว เพราะเมื่อเขาอายุได้ 19 ปี เส้นทางชีวิตของชากาก็มาถึงจุดวิกฤต ในคืนหนึ่ง ระหว่างทางกับจากปาตี้ เขามีปากเสียงชายคนหนึ่งชื่อเดวิด ในระหว่างที่ทะเลาะกัน ชากาชักปืนของเขาขึ้นมาแล้วเหนี่ยวไกยิงเดวิดจนตาย
เป็นเหตุให้เขาต้องติดคุกถึง 19 ปี และเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ปกครองด้วยความรุนแรงและการข่มเหง เขาหาเรื่องให้ตัวเองโดนจับขังเดี่ยวซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยพฤติกรรมสารพัด ตั้งแต่ทำร้ายผู้คุมไปจนถึงพยายามหลบหนี แต่สุดท้าย สิ่งที่มากะเทาะหัวใจของเขาให้เปิดออกก็คือ จดหมายฉบับหนึ่งจากลูกชายของเขา
จดหมายมีใจความว่า "ถึงพ่อที่รัก แม่บอกผมว่าพ่อติดคุกเพราะฆ่าคนตาย พ่อครับ อย่าฆ่าใครอีกเลยนะ พระเยซูคอยมองสิ่งที่พ่อทำ สวดภาวนาถึงพระองค์นะครับ แล้วพระองค์จะให้อภัยกับบาปของพ่อ" ชากาเล่าว่า "เนื้อความท่อนนั้นกะเทาะทุกสิ่งทุกอย่าง ผมคิดว่าผมจะไม่ยอมให้มันตกทอดไปถึงลูกของผม นั่นคือชั่วขณะที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่มีวันหวนกลับไปสู่ด้านมืดอีก และผมจะต้องตามหาแสงสว่างของผม ผมติดค้างลูกชายที่เขาเห็นแสงสว่างในตัวผม"
นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตสำคัญของเขา ส่งผลให้เขาฝึกฝนตัวเอง และพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนกระทั้งชากาพ้นโทษออกมาในปี 2010 เขาก็เป็นปากเสียงสำคัญให้กับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เขาเดินทางไปบรรยายให้กับคนหนุ่มสาวทั่วประเทศ ทั้งแบ่งปันเรื่องราวของเขา และเป็นกำลังใจให้คนหนุ่มหลีกเลี่ยงชีวิตอันธพาลข้างถนน
เขาไปสอนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนและได้เป็นสมาชิกของเอ็มไอทีมีเดียแลป หัวใจหลักในงานของเขา คือความเชื่อว่าคนเราไม่ควรถูกนิยามด้วยความผิดพลาดในอดีต และการไถ่ถอนความผิดพลาดนั้นเป็นไปได้ แน่นอนว่าคนจำนวนมากอาจจะบอกว่า "อดีตไม่สามารถเป็นข้ออ้างในการทำสิ่งที่เลวร้ายได้" ซึ่งก็จริงผมก็เชื่อแบบนั้น เราไม่สามารถใช้อดีตอันเลวร้ายเป็นข้ออ้างในการทำสิ่งที่ผิดต่อคนอื่นได้
แต่อดีตเป็นวัตถุดิบสำคัญที่เราสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความเข้าใจในตัวของผู้คนได้ กล่าวคือ มันคือคำอธิบาย มันให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อคำถามที่เราหลายคนถามตัวเอง "ทำไมเราจึงทำตัวแบบที่เราทำอยู่ในขณะนี้" "ทำไมเราจึงรู้สึกอย่างที่เรารู้สึกอยู่นี้" สำหรับผมไม่มีความสงสัยเลยว่าความเข้มแข็ง ความเปราะบาง และการตอบสนองเฉพาะตัวของเรา คือการแสดงออกของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเราด้วยกันทั้งนั้น
บ่อยครั้งเหลือเกินที่ สิ่งที่เคยเกิดขึ้น ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเผยตัวออกมา เราต้องมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับการกระทำของเรา เลาะเปลือกเข้าไปทีละชั้น จนถึงบาดแผลทางใจในชีวิตของเรา และเผยความจริงแท้ในอดีตของเรา นี่คือจุดที่การเปลี่ยนแปลงชีวิตเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะผ่านอะไรมาก็ตาม ขอแค่ทำความเข้าใจสิ่งที่เคยเกิดขึ้น และสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่มีคุณค่าในปัจจุบัน
เราก็จะสามารถกลับมาสู่เส้นทางชีวิตที่มีคุณค่าได้อีกครั้งหนึ่งเสมอ
อ้างอิง
Perry, B., & Winfrey, O. (2021). What Happened to You?: Conversations on Trauma, Resilience, and Healing. NY: Flatiron Books: An Oprah Book.
คาลอส บุญสุภา. (2566). ความยืดหยุ่นของสมอง (Neuroplasticity) ทำให้เราพัฒนาได้อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด. https://sircr.blogspot.com/2023/04/neuroplasticity.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น