การรักษาจิตใจเพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าในตัวเองไป (Self Esteem)

คำถามก็คือเราจะเรียกคุณค่าในตนเองกลับมาได้อย่างไร 
 เพราะทุก ๆ อย่างที่เราจับหรือแตะต้อง 
มันก็กลับสลายหายไปราวกับหิมะบนฝ่ามื

            ริต้ากำลังนั่งอธิบายว่าทำไมชีวิตของเธอถึงได้สิ้นหวังขนาดนี้ ชั่วโมงบำบัดของเธอก็เหมือนกับทุกครั้งที่ให้ความรู้สึกเหมือนบทเพลงไว้อาลัย เธอรู้สึกหมดอาลัยกับชีวิตที่ผ่านมาทั้งการหย่าร้างหลายครั้ง ทั้งการที่เธอไม่สามารถปกป้องลูก ๆ จากการโดนทำร้ายโดยริชาร์ด (อดีตสามี) ซ้ำร้ายเธอยังเลือกหลีกหนีโดยไม่เข้าไปช่วยอีกต่างหาก ลูก ๆ ของเธอต้องเติบโตขึ้นมาอย่างมีปม และใช้ชีวิตที่ไม่ได้ราบเรียบนัก กล่าวได้ว่าชีวิตของเธอในวัยประมาณ 70 ปีผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย

            แต่เรื่องราวที่เศร้าดังกล่าวก็ยิ่งน่าสับสน เพราะในขณะที่เธอยืนยันว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ชีวิตของเธอกลับเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งในเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ย้อนกลับไปตอนที่เธอกับไมรอน (คนที่เธอรู้สึกรักเมื่อเร็ว ๆ นี้) ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไมรอนได้สร้างเว็บไซต์ให้ริต้าเพื่อให้เธอลงข้อมูลผลงานศิลปะไว้ในสื่อออนไลน์ ซึ่งแม้เธอจะเป็นเพียงแค่อดีตพนักงานธุรการ แต่เธอมีความสามารถทางด้านศิลปะที่เก่งมาก 

            ไมรอนสร้างเซ็บไซต์เพื่อให้เธอได้จัดระเบียบผลงานของตัวเองและได้แบ่งปันให้คนอื่น ๆ ชมด้วย แต่ริต้าไม่คิดว่าเธอต้องการเซ็บไซต์นี้ เธอคิดว่า "ใครจะไปดู" แต่สุดท้ายมันก็ถูกสร้างเรียบร้อย แม้ในช่วงแรกจะมีคนเข้ามาเพียงแค่สองคน ซึ่งก็คือไมรอนและริต้าเท่านั้น แต่เธอก็รักมันมาก เพราะมันดูเป็นมืออาชีพมาก ทำให้เธอคิดโครงการใหม่ ๆ และจินตนาการตอนมันได้ออกมาอวดโฉม แต่ความตื่นเต้นของเธอต้องจางลงเมื่อไมรอนเริ่มเดตกับผู้หญิงคนหนึ่ง

            อีกทั้งริต้ายังได้รู้จักกับครอบครัวที่อบอุ่นซึ่งเธอมองว่าน่ารำคาญในตอนแรก จากการที่ไคล์พ่อของครอบครัวนั้นได้ช่วยชีวิตเธอจากการหงายหลังตกบันไดที่อพาร์ตเมนต์ได้อย่างหวุดหวิด จากการเดินสะดุดลูก ๆ ของเขา ไคล์จึงให้ลูก ๆ ของเขาขอโทษที่วิ่งเล่นไม่ดูทาง ในขณะที่พวกเขาเดินมาส่งเธอที่ห้องพวกเขาก็เห็นผลงานศิลปะในห้องของริต้าทั้งหมด ที่วางเรียงรายเต็มพื้น เด็ก ๆ รู้สึกเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ ไคล์เองก็อึ้ง "คุณมีความสามารถนะครับ" เขาบอก "เป็นความสามารถที่แท้จริง คุณน่าจะเอาไปขายนะครับ" เช่นเดียวกับภรรยาของไคล์ชื่อแอนนาก็คิดแบบเดียวกันเมื่อเธอมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน

            ไม่นานริต้าก็สอนศิลปะโซเฟียกับอลิซผู้มีอายุห้าปีและเจ็ดปีตามลำดับ (ลูก ๆ ของครอบครัวที่อบอุ่น) บ่อยครั้งยังได้ไปร่วมกินอาหารค่ำที่ห้อง ซึ่งลูก ๆ ของเธอคิดว่าริต้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเธอ โดยพวกเธอเรียกว่า "คุณยายแคลิฟอร์เนียของเรา" นอกจากนั้นแอนนายังแขวนภาพวาดภาพหนึ่งของริต้าไว้เหนือโซฟาในห้องนั่งเล่นของครอบครัว อีกทั้งริต้ายังวาดภาพตามสั่งสองภาพให้เด็ก ๆ แขวนไว้ในห้องของตัวเองด้วย แอนนาพยายามจ่ายเงินค่าผลงานให้ริต้า แต่เธอปฏิเสธและยืนยันว่ามันเป็นของขวัญ อีกทั้งไคล์ผู้เป็นโปรแกรมเมอร์ยังพยายามกล่อมให้ริต้ายอมให้เขาเพิ่มร้านค้าออนไลน์ไปในเซ็บไซต์ของเธอ ซึ่งก็ทำให้เธอได้ลูกค้าที่เป็นผู้ปกครองคนหนึ่ง

            โดยปกติเมื่อคนเราสูญเสียคุณค่าของตัวเองไป การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของชีวิตย่อมสามารถสร้างมันกลับคืนมาได้ไม่มากก็น้อย แต่ถึงแม้ริต้าจะมีอารมณ์ที่ดีขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น หัวเราะมากขึ้น เธอก็ยังคงรู้สึกอยู่ในเมฆดำ ภายใต้เสียงบ่นว่าทำไมไมรอนถึงได้ทำแบบนั้นกับเธอ และแม้ครอบครัวข้างห้องเธอจะดีแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงของเธออยู่ดี ยังไงเธอก็คงตายอย่างโดดเดียว

            คุณค่าของตัวเองที่เคยสูญเสียไปเมื่อนานมาแล้ว การจะสามารถเรียกกลับคืนได้จะต้องอาศัยเงื่อนไขหลายอย่าง แน่นอนความมั่นใจ หรือความภูมิใจเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงคุณค่าในตัวเองกลับคืนหรือฉุดรั้งไม่ให้เสียมันไป แต่มันก็ต้องอาศัยเงื่อนไขอื่น ๆ ด้วย ซึ่งในบทความนี้ผมจะเขียนถึงการรักษาจิตใจของตัวเองเพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าในตัวเองไป ผ่านเรื่องราวของริต้าผู้ที่เคยสูญเสียคุณค่าในตัวเอง และสามารถเรียกมันกลับคืนมาได้อย่างสง่างาม

การเห็นคุณค่าในตนเอง

            ริต้าเป็นผู้มาขอรับคำปรึกษา ซึ่งนามสมมุติในหนังสือชื่อ Maybe You Should Take to Someone ที่เขียนโดยนักบำบัด นักเขียน โลริ ก็อตต์ลิบ (Lori Gottlieb) ริต้าเป็นหนึ่งในหลายเคสของหนังสือเล่มนี้ เธอมีเรื่องราวที่น่าสนใจ จากความหมดอาลัยตายอยาก ความไม่อยากมีชีวิตอยู่ และการที่เธอสูญเสียคุณค่าของตัวเองจนแทบหมด ซึ่งในท้ายที่สุดเธอก็สามารถสร้างและเรียกมันกลับขึ้นมาใหม่ได้ แต่ก่อนอื่นต้องอธิบายเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าของตัวเองเสียก่อนเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นความสำคัญมากขึ้น

            การเห็นคุณค่าในตนเองหมายถึง การประเมินตนเองผ่านประสบการณ์ สถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วผ่านจิตสำนึก นอกจากนั้นยังเป็นการประเมินตนเอง จากคนรอบข้าง สังคม กล่าวคือ ถ้าคนรอบข้างมองว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำที่ดี ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว แย่ ก็จะส่งผลต่อการเห็นคุณค่าในตนเอง ของตัวบุคคลนั้น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน

            ผู้ที่เห็นคุณค่าในตนเองสูงจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง รักตนเอง มีชีวิตชีวาและยอมรับความเป็นจริงของชีวิต สามารถปรับตัวได้ดี ควบคุมตนเองได้ ในทางตรงกันข้ามหากเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ จะต้องการเป็นที่รักของผู้อื่น ยอมทำตามผู้อื่นและมักจะอยู่ภายใต้ความควบคุมของผู้อื่น ที่สำคัญและพบเห็นได้บ่อยคือชอบตำหนิผู้อื่นและตัดสินผู้อื่น นอกจากนั้นยังมักติดอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตอีกด้วย

            การเพิ่มการเห็นคุณค่าในตนเองนั้นจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข เผชิญชีวิตอย่างมั่นใจ และมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ยิ่งเราเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้น เราจะยิ่งเผชิญความทุกข์ยากในชีวิตได้ดีมากขึ้น มีความยืดหยุ่นและมีพลังที่จะต้านแรงกดดันของความสิ้นหวังและความพ่ายแพ้มากขึ้น ยิ่งมีความเห็นคุณค่าในตนเองมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีความสร้างสรรค์ในการทำงานมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างมากกว่าการทำลายความสัมพันธ์เพราะสิ่งที่เหมือนกันย่อมชักนำเข้าหากัน 

            จากสิ่งที่ริต้าเคยเผชิญ เธอผ่านสามีที่ชอบใช้กำลังทุบตีลูกของเธอในขณะที่เธอหนีไปซ้อนด้วยความกลัว เธอต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดมานานแสนนาน และถึงแม้วันหนึ่งเธอจะพาลูก ๆ หนีออกไป มันก็ไม่ทันแล้วเพราะพวกเขาเกลียดเธอ นอกจากนั้นสามีเก่าของเธอยังติดต่อกับลูก ๆ ของเธอ ให้เงินบ้าง โผล่ไปที่มหาวิทยาลัยบ้าง ลูกคนสุดท้ายถึงขนาดขอกลับไปอยู่กับเขาเลยเสียด้วยซ้ำ

            เมื่อริชาร์ด (อดีตสามี) ตายไป "ภรรยาใหม่ของเขาได้เงินไปทั้งหมดและลูก ๆ ก็โกรธ โมโหมาก" เธอเล่า "ทันใดนั้นพวกเขาก็จำได้อย่างชัดเจนหลังจากที่ลืมว่าริชาร์ดทำอะไรกับพวกเขาไปบ้าง แต่ลูกไม่ได้โกรธเขาแต่พวกเขาโกรธฉันที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้น ลูก ๆ ปิดกั้นฉันจากชีวิต และฉันจะได้ข่าวจากพวกเขาเฉพาะตอนที่ประสบปัญหาเท่านั้น" ซึ่งลูก ๆ ของเธอต้องเผชิญปัญหาชีวิตมากมายบางคนเป็นโรคซึมเศร้า คบกับผู้ชายที่ติดยา บางคนก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย

            ในทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคมของ อีริค อีริคสัน (Erik Erikson) ทฤษฎีนี้จะอธิบายถึงพัฒนาการตั้งแต่ทารกจนถึงวัยชรา ซึ่งในแต่ละช่วงอายุ มนุษย์จะมีค่านิยมและหน้าที่แตกต่างกัน หากเขาหรือคนรอบตัวสามารถตอบสนองได้ตรงความตรงกับค่านิยมของบุคคลในขั้นนั้น เขาก็จะได้รับประสบการณ์เชิงบวก ในทางกลับกันหากคนรอบตัวไม่สามารถตอบสนองความต้องการค่านิยมและหน้าที่ในแต่ละขั้นพัฒนาการได้ เขาก็จะมีประสบการณ์เชิงลบเกิดขึ้น และสิ่งที่น่ากลัวก็คือหากเริ่มต้นด้วยประสบการณ์เชิงลบ พัฒนาการอื่น ๆ ก็มักจะมีประสบการณ์เชิงลบตามไปด้วย

            ในวัยชราถ้าประสบการณ์ในอดีตเป็นด้านบวกมาตั้งแต่แรก บุคคลคนนั้นก็จะมีศักดิ์ศรี เขาจะเชื่อว่าที่ผ่านมาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ความรู้สึกนี้จะเติมเต็มเราทำให้สามารถยอมรับความตายที่ใกล้เข้ามาได้ดีขึ้น แต่ถ้าเรายังมีเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้ในอดีต ถ้าเราคิดว่าเลือกทางผิดหรือล้มเหลวไม่บรรลุเป้าหมายสำคัญ เราก็จะรู้สึกหดหู่ ไร้ความหวัง ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง และนำไปสู่ภาวะสิ้นหวังในท้ายที่สุด

การรักษาจิตใจเพื่อไม่ให้เสียคุณค่าในตนเองไป

            ความรู้สึกสิ้นหวัง และการที่มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองทำให้ริต้าไม่สามารถมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ ความสุขกลายเป็นเรื่องแปลกปลอมสำหรับเธอ หากวันหนึ่งเราถูกทิ้งหรือเคยโดนคนอื่นทำให้ผิดหวังหรือโดนปฏิเสธมาตลอด ความรู้สึกด้านลบจะสร้างมุมมองต่อโลกที่จะทำให้สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวกลายเป็นสถานที่ที่เปลี่ยว เหงา ดำ มืด ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราจะรู้สึกชินชากับมัน

            แต่เมื่อใดที่เราย่างเท้าเข้าไปที่พรมแดนอื่นที่ดูมีชีวิตชีวา น่าอยู่ อบอุ่น เหมือนกับคนที่เคยเจอแต่คนที่ทำให้รู้สึกผิดหวังและเป็นทุกข์มาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบเจอกับคนที่ดี ๆ เข้ามา เราจะรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่มีอะไรให้ยึดเกาะ มันเป็นเพราะว่าเราไม่อยากจะรู้สึกผิดหวังอีกต่อไปแล้ว เราพยายามปลีกตัวออกมา ทำตัวโดดเดี่ยวเพราะกลัวอดีตที่จะมาหลอกหลอนเรา เพราะถึงแม้สถานที่ที่เรารู้สึกชินชามืดมิดและเลวร้าย แต่อย่างน้อยเราก็พอจะคาดเดาได้ว่าจะเจออะไรบ้าง 

            สิ่งที่ริต้าเผชิญจึงยากที่จะสร้างคุณค่าในตัวเองให้กลับมาได้ ทำอย่างไรที่เธอจะกลับมามีหวังอีกครั้งหนึ่งได้ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยาก แต่ทำยากมากจริง ๆ ลองนึกภาพดูนะครับ (ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาบ้างแล้ว) คุณโดนหักอกมาหลายครั้งมาก จนถึงจุดหนึ่งเมื่อคุณคบกับใครคนหนึ่ง คุณรู้สึกกลัวจะผิดหวังมากจนคุณคิดว่าไม่ต้องคบใครอีกเลยจะดีกว่า อยู่คนเดียวจะได้ไม่เจ็บปวด

            แต่ต่อให้เราอยู่คนเดียว ความรู้สึกกลัวผิดหวังก็ยังคงอยู่ ดีไม่ดีมันอาจจะขยายส่งผลกระทบไปเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคบเพื่อน การทำงาน หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว เรื่องผิดหวังต่าง ๆ นี้จะทำให้คุณค่าในตนเองของเราจางหายไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งเราก็จะเหมือนกับริต้าที่สิ้นหวังกับชีวิต คำถามก็คือเราจะเรียกคุณค่าในตนเองกลับมาได้อย่างไร เพราะทุก ๆ อย่างที่เราจับหรือแตะต้อง มันก็กลับสลายหายไปราวกับหิมะบนฝ่ามือ

คุณต้องรู้สึกเจ็บปวดบ้าง ทุกคนล้วนเคยรู้สึกเจ็บปวดในบางช่วงเวลา แต่คุณไม่ต้องทนทุกข์มากนักก็ได้ - โลริ ก็อตต์ลิบ (Lori Gottlieb)

ชำระประวัติศาสตร์ของตัวเอง

            วิธีที่เราจะดึงคุณค่าของตัวเองกลับมาเป็นสิ่งที่เรียบง่ายอย่างมาก นั้นก็คือทำให้บ้านเก่าที่ดำมืดนั้นกลับมาให้สว่างอีกครั้ง แม้จะทำให้มันกลับสวยงาม มีชีวิตชีวาเหมือนครั้งหนึ่งในอดีตไม่ได้ก็ตาม มันเหมือนกับการที่ประเทศเยอรมันในปัจจุบันจัดการกับประสบการณ์อันน่าเจ็บปวดของประเทศตนเองที่ครั้งหนึ่งเคยมีนโยบายฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว จนเป็นเหตุให้ชาวยิวหลายล้านคนเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นสาเหตุให้ประเทศเยอรมันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็พยายามที่จะชำระประวัติศาสตร์ เพื่อทำให้ประชาชนรุ่นใหม่เกิดการเรียนรู้และไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนในอดีตอีกครั้งหนึ่ง

            กล่าวคือ เราจะต้องชำระประวัติศาสตร์ของตัวเอง นักบำบัดสายจิตวิเคราะห์จะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ในอดีตอย่างมาก พวกเขาจะพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์ต่าง ๆ ในอดีต นั้นเป็นเหตุผลที่การบำบัดแบบจิตวิเคราะห์ใช้เวลาค่อนข้างนาน แตกต่างกับการบำบัดที่เน้นการทำให้บุคคลทำความเข้าใจตนเองและปัญหาในปัจจุบันเพื่อให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิตในสังคมในปัจจุบันได้อย่างปกติสุข แต่ในกรณีที่ปัญหาในอดีตมันเกาะกินจิตใจอย่างรุนแรง หรือผ่านเวลาที่ยาวนาน ก็จำเป็นต้องกลับไปชำระเรื่องราวในอดีตเพื่อที่จะสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมีความหมาย

            ริต้าเลือกจะที่ชำระประวัติศาสตร์ของเธอผ่านนักบำบัดของเธอและ ไมรอนผู้ที่มีใจให้เธอหลังจากที่เลิกกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งไปแล้ว โดยเธอเล่าทุกอย่างให้ไมรอนฟังผ่านจดหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอพยายามหนีเวลาที่สามีเก่าทำร้ายลูก ๆ ของเธอ ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวต่าง ๆ ในเรื่องของความสัมพันธ์ (หย่า 3 ครั้ง) หน้าที่การงาน ครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการที่ลูก ๆ ทุกคนต่างเกลียดเธอ กล่าวคือเธอสารภาพทุกอย่างยาวหลายหน้าในจดหมาย และไม่ใช่เพียงแค่ไมรอนเท่านั้นที่เธอส่งจดหมายไป เธอยังส่งให้ลูก ๆ ของเธอทุกคนด้วย 

            ผลที่เกิดหลังจากเธอเลือกชำระประวัติศาสตร์แตกต่างกันออกไป ไมรอนต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อคิดทบทวน และลูก ๆ ของเธอไม่ให้อภัยเธอแบบหมดจด แต่ก็ซาบซึ่งกับจดหมายของเธอ พวกเขาบางคนกลับมาคุยกับเธอ และค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นทีละนิด ลูกคนหนึ่งของเธอเรียนต่อทางด้านจิตวิทยาเสียด้วยซ้ำ การชำระประวัติศาสตร์ของเธอทำให้ชีวิตคนอื่น ๆ รอบตัวเธอดีขึ้น 

            ผมไม่แน่ใจว่าริต้าสามารถให้อภัยตัวเองได้หรือไม่ แต่ริต้ากล้าที่จะเผชิญหน้า และไม่ใช่เผชิญกับปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่เธอกล้าที่จะเผชิญกับอดีตด้วย ลองพิจารณาดูหากริต้าเลือกจะเก็บเรื่องราวในอดีตเอาไว้ แล้วตัดสินใจคบกับไมรอน มันคือการกล้าเผชิญหน้ากับปัจจุบัน แต่เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าริต้าจะสามารถมีความสุข หรือหัวเราะได้สุดเสียงหรือไม่ แต่การที่ริต้าตัดสินใจชำระอดีตของตัวเองมันก็ทำให้เธอสามารถหัวเราะได้อย่างสุดเสียงอีกครั้งหนึ่ง

            ริต้ามีชีวิตที่ดีมากขึ้น เธอมีเพื่อนบ้านเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีคนรักที่ดีอย่างไมรอนและครอบครัวของเขา แม้ลูก ๆ ของเธออาจจะยังไม่ให้อภัยเธออย่างเต็มที่ แต่ริต้าก็ยอมรับด้วยความเจ็บปวดต่อทุกสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ริต้ายอมรับประวัติศาสตร์ของตนเอง เหมือนกับงานศิลป์ภาพพิมพ์ที่มีข้อความว่า "ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์" นอกจากนั้นเธอยังผลิตสินค้าขายในเว็บไซต์ของเธออีกมากมาย

            การชำระประวัติศาสตร์ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์แต่มันคือการเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะไม่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีก หลายคนพยายามจะกลับไปแก้ไขอดีต คิดว่าถ้าไม่ทำแบบนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่มันเป็นการคิดที่ไม่มีประโยชน์ นอกจากนั้นสิ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือปัจจุบัน และการยอมรับกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

อะไรที่มันเกิดขึ้นไปแล้วก็ปล่อยมันไป เพราะมันกลับไปแก้ไขไม่ได้

สรุป

            การยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น ยอมรับว่า "ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์" ก็จะสามารถทำให้เรารักษาจิตใจเพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าในตัวเองไปได้ คนบางคนสามารถสร้างคุณค่าในตัวเองได้ด้วยการทำให้ตัวเองรู้สึกภูมิใจ เพราะคุณค่าในตัวเองสัมพันธ์กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการรู้สึกมีอำนาจในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเอง หรือการมีความสุข แต่การจะรักษาคุณค่านี้ให้คงอยู่ได้ เราจะต้องรักษาจิตใจด้วยเองให้สมดุลอยู่เสมอ

            สิ่งที่จะทำให้เราสูญเสียสมดุลก็คือสิ่งเร้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การดูถูก การกระทำของผู้อื่น หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ก็อาจจะทำให้จิตใจของเรารู้สึกย่ำแย่ก็ได้ เช่น การเมืองที่ย่ำแย่ มีคนจนที่ต้องขอทานมากมาย มีคนล้มตายเพราะความยากจนและความอดอยาก หรือการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว นอกจากสภาพแวดล้อมจะส่งผลกระทบกับเราแล้ว อดีตก็สามารถทำให้คุณค่าของเราลดลงไปได้เหมือนกัน

            ริต้าเผชิญกับอดีตของตัวเองที่เจ็บปวด เธอผ่านอดีตสามีที่ชอบใช้กำลังทุบตีลูกของเธอ ในขณะที่เธอหนีไปซ้อนด้วยความกลัว เธอต้องทนอยู่กับความรู้สึกแย่มานานแสนนาน ลูก ๆ เติบโตมาด้วยความเกลียดที่มีต่อเธอ พวกเขาต่างดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบาก ก็เพราะอดีตที่พวกเขาพบเจอเช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่าหลายคนเมื่อย้อนนึกถึงอดีตที่เจ็บปวดหรือน่าอับอายก็ทำให้เรารู้สึกเหี่ยวเฉาไม่มากก็น้อย

            เราสามารถเข้าใจและยอมรับกับอดีตของตัวเองได้ ด้วยการชำระประวัติศาสตร์ของตัวเอง อย่างที่ประเทศเยอรมันในปัจจุบันจัดการกับประสบการณ์อันน่าเจ็บปวดของประเทศตนเองที่ครั้งหนึ่งเคยมีนโยบายการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว จนเป็นเหตุให้ชาวยิวหลายล้านคนเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาเลือกที่จะชำระประสบการณ์ โดยการเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสอนบทเรียนแก่คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับความเลวร้ายต่าง ๆ เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

            ริต้าได้ชำระประวัติศาสตร์ตนเองผ่านการบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับนักบำบัดโลริ ก็อตต์ลิบ (Lori Gottlieb) และเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราว คำสารภาพ คำขอโทษทั้งหมดให้กับลูก ๆ และไมรอนชายที่เธอรัก พวกเขาต้องใช้เวลาในการทำใจและให้อภัยแม่ของพวกเขา เช่นเดียวกับไมรอนที่ต้องใช้เวลาสักพักเพื่อทำความเข้าใจ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็สามารถทำได้ในระดับหนึ่ง ไมรอนยอมรับเรื่องราวของเธอและรักเธอ พวกเขาเป็นแรงบัลดาลใจให้แก่กัน และถึงแม้ลูก ๆ ของริต้าจะไม่ให้อภัยแม่ของพวกเขาในทันที แต่ความสัมพันธ์ก็เริ่มดีมากขึ้น พวกเขาได้ชำระประวัติศาสตร์ร่วมกัน ทำให้ชีวิตของครอบครัวที่เคยแตกสลายเละเทะมาก่อน กลับมาฟื้นฟูขึ้นใหม่ 

คุณค่าในตัวเองของพวกเขาที่เคยสูญเสียไป 
กลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง 
ด้วยการชำระประวัติศาสตร์ (อดีต) ที่น่าเศร้าของพวกเขา

อ้างอิง

Gottlieb, L. (2019). Maybe You Should Talk to Someone: A Therapist, HER Therapist, and Our Lives Revealed. MS: Mariner Books.

คาลอส บุญสุภา. (2563). การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self Esteem) ตอนที่ 1. https://sircr.blogspot.com/2020/02/self-esteem-1.html

คาลอส บุญสุภา. (2563). การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self Esteem) ตอนที่ 2. https://sircr.blogspot.com/2020/04/self-esteem-2.html

คาลอส บุญสุภา. (2564). ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคมของอีริคสัน (Psychosocial Development). https://sircr.blogspot.com/2021/06/psychosocial-development.html

ความคิดเห็น