บทความกลุ่มทางจิตวิทยา หลักการ และการประยุกต์ใช้ตอนที่ 1 ผมอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดโครงสร้างทางจิต หน้าที่ทางจิต และจิตวิเคราะห์ ในบทความนี้เราจะมาต่อกันด้วยกลุ่มเกสตัสท์ พฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม และมนุษย์นิยม ซึ่งเป็นกลุ่มทางจิตวิทยาที่เริ่มต้นในศตวรรษที่ 20 โดยแต่ละกลุ่มมีการศึกษาและวิจัยพฤติกรรมและกระบวนการคิดด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
1) พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 ผู้ริเริ่มคือ จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson) และบี. เอฟ. สกินเนอร์ (B.F. Skinner) พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่เน้นการศึกษาพฤติกรรมที่สังเกตได้และการเรียนรู้ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมที่สามารถวัดและสังเกตได้ แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการทางจิตที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง แนวคิดนี้เชื่ออย่างชัดเจนว่าพฤติกรรมมนุษย์และสัตว์สามารถถูกศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ผ่านการสังเกตและการทดลอง
การศึกษาพฤติกรรมที่สังเกตได้ (Observable Behavior) พฤติกรรมนิยมเชื่อว่าพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถสังเกตและวัดได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการศึกษาทางจิตวิทยา หลักการคือการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมที่สังเกตได้เพื่อทำความเข้าใจการตอบสนองต่อสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาวิธีที่เด็กเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ผ่านการสังเกตและการเลียนแบบ
การเรียนรู้ผ่านการทดลอง (Learning through Experimentation) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นผ่านการทดลองและการสังเกตพฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หลักการคือการใช้การทดลองเพื่อศึกษาว่าพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อมีการให้สิ่งเร้าหรือการเสริมแรง (reinforcement) ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบคลาสสิก (Classical Conditioning) และการเรียนรู้แบบการเสริมแรง (Operant Conditioning)
หลักการสำคัญของพฤติกรรมนิยม
การเรียนรู้แบบคลาสสิก (Classical Conditioning) การทดลองของ Ivan Pavlov ที่ใช้เสียงระฆัง (สิ่งเร้าแบบมีเงื่อนไข) เพื่อทำให้สุนัขน้ำลายไหล (การตอบสนองแบบมีเงื่อนไข) หลังจากที่มีการเชื่อมโยงกับการให้อาหาร (สิ่งเร้าแบบไม่มีเงื่อนไข)
การเรียนรู้แบบการเสริมแรง (Operant Conditioning) การทดลองของสกินเนอร์ที่ใช้กล่อง Skinner Box เพื่อศึกษาว่าหนูจะกดคันโยกรับอาหารอย่างไร (สิ่งเร้าเสริมแรง) ซึ่งเป็นการศึกษาการเสริมแรงและการลงโทษในพฤติกรรม
การเสริมแรงและการลงโทษ (Reinforcement and Punishment) การเสริมแรงบวก คือการให้รางวัลเพื่อเพิ่มความถี่ของพฤติกรรมที่ต้องการ การเสริมแรงลบ คือการกำจัดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เพื่อเพิ่มความถี่ของพฤติกรรมที่ต้องการ และการลงโทษ คือการให้ผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์เพื่อลดความถี่ของพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ
การประยุกต์ใช้แนวคิดพฤติกรรมนิยม
1) การศึกษา การสอน หรือการฝึกอบรม เป็นการใช้เทคนิคการเสริมแรงและการลงโทษเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมการเรียนรู้และการปฏิบัติของนักเรียน และการออกแบบหลักสูตรที่เน้นการให้รางวัลเมื่อมีการปฏิบัติที่ถูกต้อง รวมไปถึง การใช้เทคนิคการเสริมแรงในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะในที่ทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
2) การใช้เทคนิคการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยปรับปรุงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสำหรับผู้ที่มีปัญหาการเสพติดหรือความเครียด
ข้อจำกัดของพฤติกรรมนิยมคือการไม่คำนึงถึงกระบวนการทางจิตภายใน พฤติกรรมนิยมมุ่งเน้นการศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตได้ แต่ไม่คำนึงถึงกระบวนการทางจิตที่เกิดขึ้นภายใน เช่น ความคิด ความรู้สึก และแรงจูงใจ นอกจากนั้นยังมีความยืดหยุ่นน้อยในการอธิบายพฤติกรรมที่ซับซ้อน การใช้แนวคิดพฤติกรรมนิยมในการอธิบายพฤติกรรมที่ซับซ้อนของมนุษย์อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากไม่สามารถอธิบายความซับซ้อนของจิตใจและประสบการณ์ได้ครบถ้วน
พฤติกรรมนิยมเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่มีบทบาทสำคัญในการศึกษาการเรียนรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเน้นการศึกษาและการวิเคราะห์พฤติกรรมที่สังเกตได้ ซึ่งมีประโยชน์มากในการประยุกต์ใช้ในหลายด้าน แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณาในการนำไปใช้
2) เกสตัสท์ (Gestalt) เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ผู้ริเริ่ม มักซ์ เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer) และคาร์ท โคฟกา (Kurt Koffka) เป็นกลุ่มทางจิตวิทยาที่เน้นการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้และประสบการณ์โดยมองว่าการจะเข้าใจมนุษย์จะต้องเข้าใจเป็นภาพรวม
การรับรู้ภาพรวม (Holistic Perception) มนุษย์มีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งต่าง ๆ โดยการประมวลผลข้อมูลทั้งหมดพร้อมกัน แทนที่จะรับรู้เพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ ที่แยกจากกันหลักการคือ แนวคิดเกสตัลท์เน้นหลักการว่า “The whole is greater than the sum of its parts” หรือ “ภาพรวมมีความสำคัญมากกว่าส่วนประกอบทั้งหมดรวมกัน” ซึ่งหมายความว่ามนุษย์จะรับรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นโครงสร้างรวม ไม่ใช่แค่การรวมตัวของส่วนประกอบย่อย ๆ อธิบายง่าย ๆ เมื่อดูภาพใบหน้าของคน มนุษย์จะรับรู้ใบหน้าทั้งหมดเป็นภาพรวม ไม่ใช่แยกส่วนออกมาเป็นตา จมูก ปาก
ประสบการณ์ภาพรวม (Holistic Experience) ประสบการณ์ทางจิตของมนุษย์เกี่ยวข้องกับการรับรู้และการประมวลผลที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แทนที่จะประมวลผลเป็นส่วนย่อย ๆ ที่แยกจากกัน หลักการคือประสบการณ์ทั้งหมดมีความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กัน การรับรู้ในเชิงเกสตัลท์จะมองว่าแต่ละส่วนของประสบการณ์มีการเชื่อมโยงและสร้างความหมายที่ใหญ่ขึ้น อธิบายง่าย ๆ ก็คือ การรับรู้เหตุการณ์หนึ่ง ๆ มนุษย์จะประมวลผลประสบการณ์ทั้งทางอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกในภาพรวมเดียวกัน
หลักการสำคัญของการรับรู้และประสบการณ์ภาพรวมในเกสตัลท์
1) หลักการใกล้เคียง (Proximity) วัตถุที่อยู่ใกล้กันมีแนวโน้มที่จะถูกมองว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน
2) หลักการความเหมือน (Similarity) วัตถุที่มีลักษณะคล้ายกันจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน
3) หลักการปิดรูปร่าง (Closure) มนุษย์มีแนวโน้มที่จะเติมเต็มช่องว่างในภาพเพื่อให้เห็นเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์
4) หลักการการปรับสมดุล (Symmetry and Order) มนุษย์จะรับรู้รูปแบบที่มีความสมดุลและเป็นระเบียบ
5) หลักการความต่อเนื่อง (Continuity) มนุษย์มีแนวโน้มที่จะรับรู้รูปแบบที่ต่อเนื่องกัน
การประยุกต์ใช้แนวคิดการรับรู้และประสบการณ์ภาพรวม
1) การใช้หลักการเกสตัลท์ในการออกแบบกราฟิก เว็บไซด์ และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้การรับรู้ข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจง่าย
2) การใช้แนวคิดนี้ในการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของบทเรียนและความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดต่าง ๆ
3) การใช้แนวคิดเกสตัลท์ในการบำบัดเพื่อช่วยผู้ป่วยในการรับรู้ปัญหาและประสบการณ์ของตนเองในภาพรวม ไม่ใช่แค่ส่วนย่อย ๆ
ข้อจำกัดของแนวคิดเกสตัลท์มีดังนี้ 1) หลายแนวคิดไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มงวดและขาดรายละเอียดในกระบวนการรับรู้เชิงลึก เพราะยากในการปรับใช้ในงานวิจัยเชิงทดลองซับซ้อน 2) การเน้นภาพรวมมากเกินไป มองข้ามรายละเอียดสำคัญ และ 3) ขาดการเชื่อมโยงกับประสาทวิทยา ไม่อธิบายการทำงานของสมองอย่างละเอียด อย่างไรก็ตามแนวคิดเกสตัลท์ยังมีคุณค่าในการเข้าใจการรับรู้ภาพรวมและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาทฤษฎีในจิตวิทยาและการออกแบบสื่อ
แนวคิดการรับรู้และประสบการณ์ภาพรวมให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจว่าสมองมนุษย์รับรู้และประมวลผลข้อมูลอย่างไรในลักษณะภาพรวม ทำให้สามารถประยุกต์ใช้ในหลายด้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร การออกแบบ และการเรียนรู้
3) กลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism) เริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1950 ผู้ริเริ่มคือ ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) และ อูลริค นิสเซอร์ (Ulric Neisser) เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่เน้นการศึกษาและทำความเข้าใจกระบวนการทางจิตที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ (Perception) การคิด (Thinking) ความจำ (Memory) การตัดสินใจ (Decision Making) และการแก้ปัญหา (Problem solving) แนวคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ แนวคิดดังกล่าวพัฒนาขึ้นมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 และได้เปลี่ยนแปลงมุมมองทางจิตวิทยาจากพฤติกรรมนิยมที่เน้นการศึกษาพฤติกรรมที่สังเกตได้ มาเป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตภายใน
เน้นเข้าใจกระบวนการทางจิตที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ การคิด ความจำ การตัดสินใจและการแก้ปัญหา |
การประมวลผลข้อมูล (Information Processing) มนุษย์รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม ประมวลผลข้อมูลนั้น และแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบของพฤติกรรมหรือความคิด หลักการคือกระบวนการทางจิตประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ เช่น การรับเข้า (Input), การประมวลผล (Processing) และการตอบสนองออก (Output)
กระบวนการทางจิต (Mental Processes) คือการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางจิต เช่น ความจำ การคิด การเรียนรู้ และการรับรู้ หลักการคือการทำความเข้าใจกระบวนการเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจว่ามนุษย์คิดและเรียนรู้อย่างไร
หลักการสำคัญของปัญญานิยม
1) โครงสร้างของความจำ (Structure of Memory) การจำแนกความจำออกเป็นส่วนต่างๆ เช่น ความจำระยะสั้น (short-term memory) และความจำระยะยาว (long-term memory)
2) การรับรู้และความสนใจ (Perception and Attention) การศึกษาว่ามนุษย์รับรู้และให้ความสนใจต่อสิ่งต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร
3) การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ (Problem Solving and Decision Making) การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการที่มนุษย์ใช้ในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ
การประยุกต์ใช้แนวคิดปัญญานิยม
1) การพัฒนาวิธีการสอนที่เน้นการส่งเสริมกระบวนการคิดและการเรียนรู้ เช่น การใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเปิด (Discovery learning) และการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ (Constructivist Teaching)
2) การใช้เทคนิคการบำบัดทางปัญญา-พฤติกรรม (Cognitive-Behavioral Therapy) เพื่อช่วยผู้ป่วยในการเปลี่ยนแปลงความคิดที่ไม่เหมาะสมและพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
3) การออกแบบและพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถเลียนแบบกระบวนการทางจิตของมนุษย์
ข้อจำกัดของแนวคิดปัญญานิยม มักเน้นที่กระบวนการทางจิตและการประมวลผลข้อมูล โดยอาจมองข้ามปัจจัยทางอารมณ์และปัจจัยสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ นอกจากนั้นการศึกษาและวัดกระบวนการทางจิตเป็นเรื่องยาก เนื่องจากกระบวนการเหล่านี้ซับซ้อนและบางครั้งไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง
กลุ่มปัญญานิยมเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่สำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อน และมีการประยุกต์ใช้ในหลายด้าน ตั้งแต่การศึกษา การบำบัดทางจิต จนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่
4) มนุษย์นิยม (Humanism) เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1950 ผู้ริเริ่มคือ คาร์ล โรเจอร์ส (Carl Rogers) และอับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่เน้นการพัฒนาตนเองและความสุขของมนุษย์ โดยเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพที่ดีและสามารถพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ผ่านการเข้าใจและยอมรับตนเอง แนวคิดนี้เน้นที่การเติบโตส่วนบุคคล การตระหนักรู้ในศักยภาพของตนเอง และการแสวงหาความหมายและความสุขในชีวิต
ความสามารถในการพัฒนาตนเอง (Self-Actualization) มนุษย์มีความสามารถในการพัฒนาตนเองให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง (self-actualization) หลักการคือการพัฒนาตนเองเกี่ยวข้องกับการตระหนักรู้ในตนเอง การยอมรับตนเอง และการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและความฝันในชีวิต ตัวอย่างเช่น การแสวงหาความสำเร็จในงาน การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีความหมาย
ความสุขของมนุษย์ (Human Happiness) ความสุขเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญของมนุษย์ มนุษย์ควรแสวงหาความสุขและความพอใจในชีวิต หลักการคือการแสวงหาความสุขเกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี การมีชีวิตที่มีความหมาย และการทำกิจกรรมที่สร้างความพึงพอใจ ยกตัวอย่างเช่น การมีความสุขในครอบครัว การมีเพื่อนที่ดี และการทำงานที่ตอบสนองความต้องการส่วนตัว
หลักการสำคัญของมนุษย์นิยม
1) การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) การทำความเข้าใจตนเองและความรู้สึกของตนเอง เพื่อให้สามารถพัฒนาตนเองและตอบสนองความต้องการของตนเองได้
2) การยอมรับตนเอง (Self-Acceptance) การยอมรับตนเองทั้งในด้านบวกและด้านลบ และการพัฒนาความมั่นใจในตนเอง
3) การแสวงหาความหมายในชีวิต (Search for Meaning) การค้นหาความหมายและเป้าหมายในชีวิตที่มีคุณค่าและตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล
การประยุกต์ใช้แนวคิดมนุษย์นิยม
1) การใช้เทคนิคการบำบัดที่เน้นการยอมรับและการสนับสนุนเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถตระหนักรู้ในตนเองและพัฒนาตนเอง เช่น การบำบัดแบบมนุษยนิยม (Humanistic Therapy) ของ Carl Rogers
2) การส่งเสริมการพัฒนาตนเองของนักเรียนผ่านการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนและเปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถตระหนักรู้ในศักยภาพของตนเอง
3) การใช้แนวคิดมนุษย์นิยมในการพัฒนาองค์กรเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เน้นการยอมรับและการสนับสนุนพนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจในงาน
ข้อจำกัดของแนวคิดมนุษย์นิยม ประกอบด้วย 1) การวัดและประเมินการพัฒนาตนเองและความสุขเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและเป็นปัจเจกบุคคล และ 2) แนวคิดมนุษย์นิยมอาจเน้นที่การพัฒนาตนเองของบุคคลมากเกินไป จนมองข้ามปัจจัยสังคมและเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อความสุขและการพัฒนาตนเอง
มนุษย์นิยมเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่เน้นการพัฒนาตนเองและความสุขของมนุษย์ โดยเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและสามารถแสวงหาความหมายและความสุขในชีวิตได้ การประยุกต์ใช้แนวคิดนี้มีประโยชน์ในการบำบัด การศึกษา และการพัฒนาองค์กร แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณาในการนำไปใช้
สรุปความแตกต่างระหว่างกลุ่มทางจิตวิทยาทุกกลุ่ม
1) โครงสร้างทางจิต เน้นการแยกส่วนประกอบของจิตใจ
2) หน้าที่ทางจิต เน้นการทำงานและการปรับตัวของจิตใจ
3) พฤติกรรมนิยม เน้นการศึกษาพฤติกรรมที่สังเกตได้และการเรียนรู้
4) เกสตัสท์ เน้นการรับรู้และประสบการณ์ภาพรวม
5) จิตวิเคราะห์ เน้นกระบวนการที่ไม่รู้ตัวและความขัดแย้งภายในจิตใจ
6) มนุษย์นิยม เน้นความสามารถในการพัฒนาตนเองและความสุขของมนุษย์
7) ปัญญานิยม เน้นกระบวนการรับรู้ การคิด และการเรียนรู้
อ้างอิง
คาลอส บุญสุภา. (2564). การเสริมแรงและการลงโทษ (B.F.Skinner). https://sircr.blogspot.com/2021/05/bfskinner.html
คาลอส บุญสุภา (2564) รูปแบบการเสริมแรง (Reinforcement). https://sircr.blogspot.com/2021/05/reinforcement.html
สุรางค์ โค้วตระกูล. 2559. จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
McLeod, S. (2018). How Reinforcement and Punishment Modify Behavior. https://www.simplypsychology.org/operant-conditioning.html
McLeod, S. (2020). Maslow's Hierarchy of Needs. simplypsychology.org/maslow.html.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น