การจัดการเวลาและงาน: สะพานที่มองไม่เห็นระหว่างการเรียนรู้กับความเป็นอิสระของนักเรียนออทิซึมฯ

เมื่อนักเรียนออทิซึมฯสามารถบริหารเวลาและงานได้อย่างเป็นอิสระ นั่นคือจุดที่พวกเขาเริ่มก้าวข้ามจากการพึ่งพา ไปสู่ความเป็นผู้เรียนที่มีวินัยและมีระบบในตนเองอย่างแท้จริง

            งานหลักของผมคือการเป็นครูการศึกษาพิเศษที่สอนนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม ซึ่งผมพบว่าพวกเขามีปัญหาหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการสื่อสาร การรับรู้อารมณ์ หรือความเข้าใจบริบททางสังคม โดยเฉพาะข้อจำกัดในเรื่องของ Theory of Mind (ความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และพิจารณาว่าตนเองและผู้อื่นมีสภาพจิตใจ ความเชื่อ ความตั้งใจ ความรู้สึก และเจตนาเป็นอย่างไร) 

            แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้สามารถเขียนเป็นบทความได้ไม่รู้จบ และผมก็ได้เขียนมาหลายบทความแล้ว แต่ในบทความนี้ผมอยากจะลงลึกไปที่ปัญหาที่พบเห็นได้ทั่วไป จากระบบการเรียนรวม (Inclusive) และมักจะเป็นปัญหาที่เรามองข้าม อาจจะเพราะมัวไปมองแต่ปัญหาใหญ่ ๆ ที่ถูกพูดถึงกันในงานวิชาการเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น เรื่องเล็ก ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การจัดการเวลาและงานของเขา จึงมักจะถูกมองข้ามไป

            ความภูมิใจ การเห็นคุณค่าในตนเอง ความมั่นใจ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรเชิงบวกที่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งมันจะเติบโตไปพร้อมกันจากความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย และได้รับการยอมรับจากคนรอบตัว (พร้อมทั้งตัวเอง) หากมองในโรงเรียนความสำเร็จและการยอมรับดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นจากความสำเร็จทางด้านผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แต่สำหรับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมฯ มันเป็นเรื่องยากอย่างมากด้วยข้อจำกัดของพวกเขา ดังนั้นเราควรจะมองสิ่งสำคัญในลำดับถัดไป

เพราะอะไรการจัดการเวลาและงานจึงสำคัญมากกว่าที่คิด

            สิ่งนั้นคือ ความสามารถในการจัดการเวลาและงาน นักเรียนมักจะได้รับการชื้นชมเกือบ ๆ หรือเทียบเท่ากับการมีผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการที่ดี หากสามารถส่งงานได้ตรงเวลาทุกครั้ง กล่าวคือ แม้นักเรียนบางคนอาจไม่ได้สื่อสารคล่อง แต่สามารถกำหนดเป้าหมาย วางแผน แปลงงานเป็นขั้นตอน จัดลำดับความสำคัญ จัดสรรและควบคุมเวลา เริ่ม และเสร็จงานตามเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งลดสิ่งรบกวน ติดตาม ประเมินผล และปรับกลยุทธ์ได้ด้วยตนเองอย่างเป็นอิสระ  ความสำเร็จเล็ก ๆ แบบนี้สร้างความภูมิใจมหาศาล ทั้งกับตัวเขาเอง ครู และครอบครัว 

            มันกลายเป็นแรงผลักให้เขากล้าพูดคุยมากขึ้น มีเพื่อนมากขึ้น และเรียนรู้อย่างมั่นใจขึ้นทีละก้าว ซึ่งมันจะขยายผลเหมือนแรงกระเพื่อมของน้ำ ดังนั้นสำหรับผมแล้วการจัดการเวลาและงานไม่ใช่แค่ทักษะหนึ่งในหลักสูตร แต่คือสะพานที่มองไม่เห็นระหว่างการเรียนรู้กับความเป็นอิสระของนักเรียนออทิซึมฯ สะพานที่เชื่อมระหว่างสิ่งที่เขาทำได้ กับสิ่งที่เขายังไม่รู้ว่าทำได้

            ในมุมมองของครูการศึกษาพิเศษ การที่นักเรียนออทิซึมฯ สามารถเริ่ม ลงมือ และทำงานจนเสร็จได้เอง คือจุดเริ่มต้นของความเป็นอิสระทางการเรียนรู้ งานวิจัยของ Tamm, Hamik, Zoromski และ Duncan (2024) แสดงให้เห็นว่า วัยรุ่นออทิซึมฯ มีข้อบกพร่องอย่างมากในการวางแผนและจัดลำดับงาน เมื่อเปรียบเทียบกับวัยรุ่นทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดตารางเวลา 

            ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการฝึกทักษะการวางแผนเป็นขั้นตอน สามารถช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจต่อโครงสร้างของเวลาและภาระงานได้ดีขึ้น เป็นรากฐานของการจัดการตนเอง เช่น การวางแผน และการบริหารเวลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดทักษะที่เรียกว่า Executive Functions (EF) 

การจัดสรรเวลาและงานได้ จะผลักให้นักเรียนออทิซึมฯ กล้าพูดคุยมากขึ้น และเรียนรู้อย่างมั่นใจขึ้นทีละก้าว 

            EF เป็นตัวแปรที่ได้รับความสนใจทางวิชาการสูงมาก เพราะเป็นกระบวนการคิดระดับสูงของสมองที่ช่วยให้มนุษย์ตั้งเป้าหมาย ควบคุมตนเอง และจัดลำดับกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ นักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัมมีความบกพร่องด้าน EF ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ การเข้าสังคม และการปรับตัวในระบบการเรียนรวม 

            ด้วยเหตุนี้นักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัมจึงมีข้อจำกัดในด้านการจัดการเวลาและงานหากเทียบกับนักเรียนทั่วไป ผสมกับการที่เขามีปัญหาเรื่องการเล่นร่วมกับผู้อื่น หรือสร้างความสัมพันธ์ และยึดติดกับกิจวัตร หากเปลี่ยนแปลงจะไม่สบายใจ อีกทั้งยังต้องการการกระตุ้นที่มากกว่าเด็กทั่วไป รวมไปถึงประเมินเวลาที่ใช้ไปกับงานต่าง ๆ ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือประเมินไว้ว่าต้องใช้เวลาน้อยกว่าที่จริง

            ส่งผลให้การวางแผนสิ่งต่าง ๆ เช่น กิจกรรมต้องใช้เวลากี่นาทีอาจทำได้ยาก หรือการประเมินว่า “ต้องเริ่มต้นเมื่อไหร่” เพื่อให้ทันเวลา อาจคลาดเคลื่อน และการจัดลำดับเหตุการณ์ตามลำดับหรือตามเวลาอาจยากขึ้น รวมไปถึงงานหลายอย่าง เช่น การบ้าน กิจวัตรประจำวัน หรือการเปลี่ยนจากกิจกรรมหนึ่งไปยังอีกกิจกรรมต้องใช้การสนับสนุนเสริม กล่าวคือ ความสามารถในการจัดการเวลาและงานมีข้อกัด

จะฝึกฝนให้นักเรียนฯจัดการเวลาและงานได้อย่างไร

            เมื่อนักเรียนขาดการจัดการเวลา เขาอาจเริ่มงานช้า ลืมขั้นตอน หรือไม่สามารถคงสมาธิให้กับงานที่ยาวนานได้อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า EF ไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่สามารถฝึกได้ผ่านการสอนแบบเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น Escolano-Pérez, Acero-Ferrero, และ Herrero-Nivela (2019) พบว่าการสอนให้นักเรียนออทิซึมฯ ฝึกวางแผนเป็นขั้นตอน ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียงลำดับกิจกรรมและจัดการงานที่ซับซ้อนมากขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ 

            สิ่งที่ผมอยากย้ำเพิ่มเติมคือ ความสามารถในการจัดการเวลาและงานของนักเรียนออทิซึมฯ ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ต้องมีกลไกการฝึกที่ช่วยให้พวกเขารู้จักกำกับพฤติกรรมของตนเองอย่างเป็นระบบ ซึ่งพบว่ามีหลากหลายแต่กลไกที่ผมอยากจะแนะนำคือ การจัดการตนเอง (Self-Management) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการสร้างทักษะการจัดการเวลาและงาน

            จากการศึกษาของผม การจัดการตนเองประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 4 ด้าน (Wilkinson, 2008; Aydın, Sulu, & Ari-Arat, 2024) ได้แก่ 

            1) การติดตามตนเอง (Self-monitoring) ที่ช่วยให้ผู้เรียนรับรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร อยู่กับงานหรือหลุดจากงาน

            2) การกระตุ้นเตือน (Prompting) เพื่อช่วยให้นักเรียนเริ่มทำงานได้ทันเวลา

            3) การใช้เครื่องมือช่วยเวลา (Timer) เพื่อควบคุมจังหวะและระยะเวลาในการทำงาน

            4) การเสริมแรงตนเอง (Self-reinforcement) ที่ทำให้เด็กเกิดแรงจูงใจในการทำงานต่อเนื่องเมื่อทำได้ตามเป้าหมาย 

            งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า เมื่อนักเรียนออทิซึมฯ ได้รับการฝึกการจัดการตนเอง พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เช่น การอยู่กับงาน (On-task behavior) การเริ่มงานตรงเวลา และการทำงานเสร็จตามขั้นตอน (ซึ่งเป็นส่วนสำคัญจองการจัดการเวลาและงาน) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (Callahan & Rademacher, 1999; Simmons et al., 2022; Gural et al., 2024)

            การติดตามและประเมินพฤติกรรมของตนเองช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ทำกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การเริ่มงานตรงเวลาทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นหรือได้รับคำชมจากครูมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ครูสอนให้นัท เด็กชายออทิซึมฯ คนหนึ่ง ใช้ตารางเวลา และเช็กลิสต์ เพื่อติดตามการทำงานของตนเองในแต่ละวัน

            เมื่อเวลาผ่านไป นัทเริ่มสังเกตเห็นว่า "ถ้าเริ่มงานเร็ว งานจะเสร็จก่อนพักกลางวัน แต่ถ้าช้า จะไม่ได้พัก" จากการสังเกตนี้เอง เขาเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรม (เริ่มงานเร็วหรือช้า) กับผลลัพธ์ (ทำงานเสร็จหรือไม่เสร็จ) การเข้าใจเช่นนี้คือการเกิด “การตระหนักรู้” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการวางแผน การจัดสรรเวลา และความรับผิดชอบต่องานในระยะยาว 

            กล่าวคือ นัทเริ่มเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง ไม่ใช่เพียงทำตามคำสั่งของครูอีกต่อไป

            สำหรับนักเรียนออทิซึมฯ ในห้องเรียนรวม การฝึกจัดการตนเองจึงเป็นมากกว่าวิธีควบคุมตนเอง แต่มันคือการสอนให้พวกเขารู้จักจัดการชีวิตการเรียนของตนเอง ในแบบที่สอดคล้องกับจังหวะและความสามารถของเขาเอง นักเรียนฯ ที่สามารถเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของตนเองได้ จะค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะกำหนดเป้าหมาย วางแผน แก้ปัญหา และปรับเวลาการทำงานของตนเองได้โดยไม่ต้องรอการสั่งจากครูทุกขั้นตอน

            กล่าวอีกนัยหนึ่ง "การจัดการตนเองคือเครื่องยนต์ขับเคลื่อนของการจัดการเวลาและงาน" เพราะมันทำให้ผู้เรียนเปลี่ยนจาก “การทำตามคำสั่ง” ไปสู่ “การกำกับการทำงานของตนเอง” และเมื่อนักเรียนออทิซึมฯสามารถบริหารเวลาและงานได้อย่างเป็นอิสระ นั่นคือจุดที่พวกเขาเริ่มก้าวข้ามจากการพึ่งพา ไปสู่ความเป็นผู้เรียนที่มีวินัยและมีระบบในตนเองอย่างแท้จริง

จัดการเวลาและงานเพื่อสร้างความเป็นอิสระ

            ในแง่การวิจัย “ทักษะในการจัดการเวลาและงาน” เป็นตัวแปรตามที่สะท้อนพฤติกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม วัดได้ และมีความหมายต่อชีวิตจริงของนักเรียนออทิซึมฯ การวัดตัวแปรนี้สามารถใช้เครื่องมือเชิงพฤติกรรม เช่น การสังเกตการอยู่กับงาน (On-task behavior) การวัดอัตราการทำงานเสร็จ (Task completion rate) หรือการประเมินการวางแผนและติดตามตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่สอดคล้องกับแนวทางการวิจัยทางการศึกษาพิเศษในบริบทโรงเรียนรวม (Hume et al., 2021; Li et al., 2023)

            การพัฒนาให้นักเรียนออทิซึมฯ ให้มีทักษะจัดการเวลาและงานได้ จึงไม่เพียงเป็นการแก้ปัญหาในห้องเรียน แก้ปัญหาการผลัดวันประกันพรุ่งที่พบในนักเรียนบางคน แต่คือการสร้างโครงสร้างภายในให้เขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว สามารถเรียกได้ว่า มันคือการปูทางไปสู่ความเป็นอิสระที่แท้จริง ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และในสังคม

            บางครั้ง “สิ่งที่มองไม่เห็น” ต่างหากที่สำคัญที่สุด การจัดการเวลาและงานอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับปัญหาการสื่อสารหรือพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม แต่ในความเป็นจริง ทักษะเล็ก ๆ นี้คือจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบภายในที่มั่นคง มันคือสะพานที่พาเด็กก้าวจาก การพึ่งพาไปสู่ การเป็นเจ้าของชีวิตของตนเอง

และเมื่อวันหนึ่งเด็กคนหนึ่งสามารถเปิดสมุด วางแผน และทำงานเสร็จได้ด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ นั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้เห็นว่า “สะพานที่มองไม่เห็น” นั้น ได้พาเขาข้ามไปอีกฝั่งแล้วจริง ๆ

อ้างอิง

Aydın, O., Sulu, M. D., & Ari-Arat, C. (2024). A meta-analysis of self-management interventions in teaching daily living skills to autistic individuals. Journal of Autism and Developmental Disorders. https://doi.org/10.1007/s10803-024-06145-2

Callahan, K., & Rademacher, J. A. (1999). Using self-management strategies to increase the on-task behavior of a student with autism. Journal of Positive Behavior Interventions, 1(2), 117–122. https://doi.org/10.1177/109830079900100208

Escolano-Pérez, E., Acero-Ferrero, M., & Herrero-Nivela, M. L. (2019). Improvement of planning skills in children with autism spectrum disorder after an educational intervention: A study from a mixed methods approach. Frontiers in Psychology, 10, 2824. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2019.02824

Gural, S., Sönmez, N., & Çifci Tekinarslan, İ. (2024). Effects of self-management interventions on academic and behavioral outcomes of students with autism spectrum disorder: A systematic review. Education and Training in Autism and Developmental Disabilities, 59(2), 133–149.

Hume, K., Steinbrenner, J. R., Odom, S. L., Morin, K. L., Nowell, S. W., Tomaszewski, B., et al. (2021). Evidence-based practices for children, youth, and young adults with autism: Third generation review. Journal of Autism and Developmental Disorders, 51, 4013–4032. https://doi.org/10.1007/s10803-020-04844-2

Li, Y.-F., Byrne, S., Yan, W., & Ewoldt, K. B. (2023). Self-monitoring intervention for adolescents and adults with autism: A research review. Behavioral Sciences, 13(2), 138. https://doi.org/10.3390/bs13020138

Simmons, C. A., Ardoin, S. P., Ayres, K. M., & Powell, L. E. (2022). Parent-implemented self-management intervention on the on-task behavior of students with autism. School Psychology, 37(3), 273–284. https://doi.org/10.1037/spq0000501

Tamm, L., Hamik, E. M., Zoromski, A. K., & Duncan, A. (2024). Use of the weekly calendar planning activity to assess executive function in adolescents with autism spectrum disorder. American Journal of Occupational Therapy, 78(1), 1–11. https://doi.org/10.5014/ajot.2024.050295

Wan Yunus, F., Bissett, M., Penkala, S., Kadar, M., & Liu, K. P. Y. (2021). Self-regulated learning versus activity-based intervention to reduce challenging behaviors and enhance school-related function for children with autism spectrum disorders: A randomized controlled trial. Research in Developmental Disabilities, 114, 103986. https://doi.org/10.1016/j.ridd.2021.103986

Wilkinson, L. A. (2008). Self-management for children with high-functioning autism spectrum disorders. Intervention in School and Clinic, 43(3), 150–157. https://doi.org/10.1177/1053451207310346

ความคิดเห็น