การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง Self-Control, Self-Regulation, และ Self-Management ในนักเรียนออทิซึมฯ
สิ่งที่ทำให้การจัดการตนเองแตกต่างจากแนวคิด การกำกับตนเอง คือการมุ่งเน้นการสร้างระบบภายนอกที่เป็นรูปธรรม (External System) เพื่อช่วยชดเชยกลไกการควบคุมภายในที่เป็นข้อจำกัดของนักเรียนออทิซึมฯ
ในโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและสิ่งกระตุ้นตลอดเวลา ความสามารถในการ จัดการตนเอง (Self-management - SM) ได้ยกระดับจากทักษะเสริมไปสู่ ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ สำหรับคนทั่วไป เป็นเกราะป้องกันความเหนื่อยล้าทางจิตใจจากความสับสนวุ่นวาย แต่สำหรับ นักเรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม แล้ว ทักษะนี้กลับทวีความจำเป็นขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
เนื่องจากพวกเขามีข้อจำกัดโดยธรรมชาติในด้าน หน้าที่บริหาร (Executive Functions - EF) ซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากในการวางแผน การจัดลำดับ และการควบคุมพฤติกรรม หากไม่มีระบบที่แข็งแกร่งมาช่วยชดเชย การพึ่งพาครูผู้สอนในการจัดการเวลาและงานจะทำให้พวกเขาไม่สามารถเติบโตไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบและเป็นอิสระได้ในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน
ดังนั้น การจัดการตนเองจึงไม่ใช่เพียงแค่โปรแกรมฝึกวินัย แต่คือ ระบบปฏิบัติการเชิงรุก ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับความท้าทายของศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะ ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนผ่านจากห้องเรียนไปสู่โลกอาชีพ ผู้เรียนออทิซึมฯ จำเป็นต้องใช้การจัดการตนเอง เพื่อจัดการตารางการทำงานหลายอย่าง (Multitasking) หรือการทำงานโปรเจกต์ระยะยาว (Long-term Project) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ในระหว่างที่กำลังศึกษา ผมพบว่ามีตัวแปรที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น การควบคุมตนเอง (Self-control) หรือการ กำกับตนเอง (Self-regulation) ผมจึงศึกษาเพิ่มเติม ลงลึกและพบว่า การจัดการตนเองจึงเรียกได้ว่านัมเบอร์วันสำหรับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม
การจำแนกแนวคิด: จากการยับยั้งเฉพาะหน้าสู่การจัดระบบปฏิบัติการเพื่อความเป็นอิสระ
เพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใด การจัดการตนเองจึงเป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาทักษะการบริหารเวลาและงานในผู้เรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม จำเป็นต้องพิจารณาความแตกต่างของแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การควบคุมตนเอง (Self-Control) และ การกำกับตนเอง (Self-Regulation) ซึ่งมีขอบเขตและระดับความซับซ้อนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
1) การควบคุมตนเอง (Self-Control): การตอบสนองแบบยับยั้ง
การควบคุมตนเอง (Self-Control) หมายถึงความสามารถในการ ยับยั้งแรงกระตุ้นทางอารมณ์หรือพฤติกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับกติกาทางสังคมหรือเป้าหมายระยะสั้น (Baumeister & Vohs, 2016; Duckworth, Gendler, & Gross, 2019)
กลไกนี้มีลักษณะเชิงตอบสนอง (Reactive) เน้นการหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์เฉพาะหน้า ตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนออทิซึมฯ ถูกรบกวนโดยเสียงเพื่อนแล้วสามารถ ยับยั้งการโวยวายหรือพูดเสียงดัง ได้ทันที เป็นการแสดงว่าเขาสามารถควบคุมตนเองอย่างดี
อย่างไรก็ตาม การฝึกควบคุมตนเองเพียงอย่างเดียวมักให้ผลในระยะสั้น เพราะเน้นการยับยั้งมากกว่าการ วางแผนและสร้างแรงจูงใจภายใน ผมไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะครับ แต่หากอยากจะฝึกควบคุมตนเองเพื่อส่งเสริมทักษะบางอย่างในระยะยาว โดยเฉพาะการจัดการเวลาและงานแล้ว ทักษะหรือกลไกอย่างอื่นอาจจะเหมาะสมมากกว่า
2) การกำกับตนเอง (Self-Regulation): ความท้าทายของกระบวนการภายใน
การกำกับตนเอง (Self-Regulation: SR) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่า หมายถึง การใช้กลไกภายในในการควบคุมอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาว (Mazza, Cooper, & Fleming, 2017) ทักษะนี้เชื่อมโยงกับ หน้าที่บริหาร EF โดยตรง เช่น การวางแผน การยับยั้ง และการปรับความยืดหยุ่นทางความคิด (Diamond, 2013)
ในนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม การพัฒนาทักษะกำกับตนเองถือเป็นความท้าทาย เพราะพวกเขามักมีข้อจำกัดด้าน การรับรู้และแปลความหมายของอารมณ์ (Emotion Recognition) รวมถึง การจัดการอารมณ์ (Mazza, Cooper, & Fleming, 2017) ตัวอย่างเช่น นักเรียนฯ ที่รู้สึกหงุดหงิดเมื่อทำงานผิดพลาดอาจยังไม่สามารถจัดการอารมณ์ให้สงบลงด้วยตนเอง จำเป็นต้องได้รับการฝึกในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีการสนับสนุนจากครู
แม้การกำกับตนเองจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาอารมณ์และแรงจูงใจ และเหมาะสมในการส่งเสริมทักษะบางอย่างในระยะยาวมากกว่าการควบคุมตนเองที่เป็นการยับยั้งการตอบสนองระยะสั้น แต่ในทางปฏิบัติยังยากต่อการประเมินและออกแบบการสอน เพราะเป็นกระบวนการทางจิตใจที่เกิดขึ้นภายในและยากหากจะวัดหรือสังเกตได้โดยตรง (Diamond, 2013)
3) การจัดการตนเอง (Self-Management): ระบบปฏิบัติการเชิงรุกที่เป็นรูปธรรม
การจัดการตนเอง (Self-Management: SM) หมายถึง เครื่องมือในการพัฒนาตนเองที่เน้นให้ผู้เรียน กำหนดเป้าหมาย วางแผน เฝ้าติดตาม ประเมิน และเสริมแรงพฤติกรรมของตนเองอย่างมีระบบ ทั้งเพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่ต้องการ และลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นำไปสู่การพึ่งพาตนเองในระยะยาว การจัดการตนเองถือเป็นการนำแนวคิดของการกับกำตนเองมาสู่ระดับปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม (Operationalized System)
SM ออกแบบให้มี ขั้นตอนที่ชัดเจน วัดผลได้ และส่งเสริมความเป็นอิสระของผู้เรียน (Gural, Sönmez, & Çifci Tekinarslan, 2024; Simmons, Ardoin, Ayres, & Powell, 2022) กระบวนการจัดการตนเองประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (1) การตั้งเป้าหมาย (Goal Setting), (2) การวางแผน (Planning), (3) การเฝ้าติดตามตนเอง (Self-Monitoring), (4) การประเมินตนเอง (Self-Evaluation) และ (5) การเสริมแรงตนเอง (Self-Reinforcement)
ตัวอย่างเช่น นักเรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมในห้องเรียนอาจใช้ เช็กลิสต์ เพื่อตรวจว่างานที่ได้รับมอบหมายแต่ละชิ้นเสร็จแล้วหรือยัง จากนั้นใช้ตัวจับเวลาแบบภาพเพื่อคุมเวลาทำงาน และได้รับโทเค็น (สิ่งเสริมแรง) ทุกครั้งที่ทำงานตรงเวลา ด้วยตัวอย่างเช่นนี้ครูจึงเปลี่ยนบทบาทจากผู้ควบคุมพฤติกรรมมาเป็นผู้สร้างระบบให้เด็กกำกับตนเอง
งานของ Simmons et al. (2022) และ Gural et al. (2024) พบว่า การฝึกการจัดการตนเองช่วยให้นักเรียนออทิซึมฯ มีสมาธิกับงานมากขึ้น (On-task Behavior) ลดพฤติกรรมก่อกวน (Disruptive Behavior) และ ทำงานเสร็จตามกำหนดเวลา (Task Completion) ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การสังเคราะห์เชิงระบบโดย Gural และคณะ (2024) ยังรายงานขนาดอิทธิพลสูง (Tau-U ≈ 0.93) ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแรงของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
กล่าวโดยสรุปแล้วการจัดการตนเองจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างกลไกการกำกับตนเอง (Self-Regulation) กับการลงมือปฏิบัติจริงในห้องเรียน เพราะสามารถแปลงกระบวนการ EF ที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นพฤติกรรมที่วัดได้ และสร้างความเป็นอิสระให้กับผู้เรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมได้ในระยะยาว
เหตุผลที่การจัดการตนเองคือคำตอบที่ดีที่สุด
1) เชื่อมโยงทักษะสมองส่วนหน้า (EF) ที่เป็นนามธรรม สู่พฤติกรรมที่วัดผลได้จริง
การจัดการตนเองโดดเด่นอย่างมากเพราะสามารถ เชื่อมโยงโดยตรงกับองค์ประกอบของหน้าที่บริหาร ที่มักบกพร่องในนักเรียนออทิซึมฯ เช่น การวางแผน (Planning) และการติดตามความคืบหน้า (Monitoring Progress) ซึ่งโดยปกติเป็นทักษะที่จับต้องได้ยาก โปรแกรมการจัดการตนเองสามารถช่วยแปลง” กระบวนการทางความคิดเหล่านี้ให้กลายเป็น พฤติกรรมที่สังเกตและวัดผลได้จริง
ผ่านเครื่องมืออย่าง เช็กลิสต์ (Checklist) และ ตารางเวลาแบบภาพ (Visual Schedule) ตัวอย่างเช่น นักเรียนฯ สามารถตรวจสอบลำดับงานของตนเองในแต่ละวัน และครูสามารถบันทึกข้อมูลชี้วัดที่ชัดเจน เช่น การเริ่มงานตรงเวลา หรือ เปอร์เซ็นต์เวลาที่อยู่กับงาน (On-task Percentage) ซึ่งช่วยให้การพัฒนา EF ไม่ใช่เพียงแนวคิดนามธรรมอีกต่อไป แต่กลายเป็นพฤติกรรมที่มองเห็นและติดตามผลได้จริงในชั้นเรียน
2) ได้รับการยืนยันจากหลักฐานเชิงประจักษ์ระดับสูง และลดภาระครูผู้สอนในห้องเรียนจริง
การจัดการตนเองได้รับการยืนยันจากงานวิจัยจำนวนมากว่าเป็นแนวทางที่ มีประสิทธิผลสูงและมีหลักฐานรองรับอย่างแข็งแรง การสังเคราะห์งานวิจัยโดย Gural, Sönmez และ Çifci Tekinarslan (2024) รายงานขนาดอิทธิพลรวม (Tau-U ≈ 0.93) ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “สูงมาก” ขณะที่งานภาคสนามของ Simmons et al. (2022) พบว่าการใช้กลยุทธ์การติดติดตามตนเอง และระบบเสริมแรงด้วยโทเค็นในห้องเรียนจริงช่วยให้นักเรียนออทิซึมฯ มีสมาธิอยู่กับงานมากขึ้น (On-task Behavior) และทำงานได้สำเร็จตรงเวลา
นอกจากนี้การจัดการตนเองยังตอบโจทย์บริบทห้องเรียนรวม (Inclusive) ของประเทศไทย ที่ครูมักต้องดูแลนักเรียนจำนวนมาก การใช้โปรแกรมการจัดการตนเองช่วยถ่ายโอนอำนาจการกำกับพฤติกรรมไปยังตัวผู้เรียน ครูเพียงเตรียมเครื่องมือ เช่น ตารางเวลาแบบภาพหรือแอปตรวจสอบงาน แล้วให้นักเรียนฯ ใช้เครื่องมือดังกล่าวด้วยตนเอง สิ่งนี้ไม่เพียงลดภาระงานของครู แต่ยังสร้างวินัยภายในให้กับนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
3) สร้างความเป็นอิสระที่ยั่งยืนผ่านระบบภายนอกที่ทดแทนกลไกภายใน
สิ่งที่ทำให้การจัดการตนเองแตกต่างจากแนวคิด การกำกับตนเอง คือการมุ่งเน้นการสร้างระบบภายนอกที่เป็นรูปธรรม (External System) เพื่อช่วยชดเชยกลไกการควบคุมภายในที่เป็นข้อจำกัดของนักเรียนออทิซึมฯ ตัวอย่างเช่น การใช้เช็กลิสต์ ตารางภาพ หรือเสริมแรงด้วยโทเค็นแทนคำสั่งของครู ช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นสิ่งที่ต้องทำและรู้วิธีประเมินความก้าวหน้าของตนเองโดยไม่ต้องอาศัยการตีความอารมณ์หรือการตัดสินใจเชิงนามธรรมที่ซับซ้อน
เมื่อผู้เรียนฝึกใช้ระบบเหล่านี้เป็นประจำ พฤติกรรมการจัดการตนเองจะค่อย ๆ ซึมซับจนกลายเป็นนิสัย นักเรียนจะสามารถเริ่มงานได้ด้วยตนเอง ควบคุมเวลา และทำงานจนเสร็จ แม้ครูจะไม่ได้อยู่ใกล้ ซึ่งถือเป็นการสร้าง “ความเป็นอิสระที่ยั่งยืน (Sustainable Independence)” และสอดคล้องกับเป้าหมายสำคัญของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คือการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรับผิดชอบและสามารถกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้
ท้ายที่สุดการจัดการตนเองไม่เพียงช่วยฝึกให้นักเรียนออทิซึมฯ ทำตามคำสั่งได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นระบบที่ช่วย เปลี่ยน EF จากแนวคิดนามธรรมให้กลายเป็นพฤติกรรมจริง สามารถยืนยันผลด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และปลูกฝังความเป็นอิสระอย่างยั่งยืน
ซึ่งทำให้การจัดการตนเองกลายเป็น ทางเลือกที่ครบถ้วนที่สุดในการจะพัฒนาบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เขาเรียนรวมได้อย่างเท่าเทียม
อ้างอิง
Baumeister, R. F., & Vohs, K. D. (2016). Self-regulation, ego depletion, and motivation. Annual Review of Psychology, 67, 533–551.
Diamond, A. (2013). Executive functions. Annual Review of Psychology, 64, 135–168.
Duckworth, A. L., Gendler, T. S., & Gross, J. J. (2019). Situational strategies for self-control. Perspectives on Psychological Science, 14(3), 433–449.
Gural, S., Sönmez, N., & Çifci Tekinarslan, İ. (2024). Effects of self-management interventions on academic and behavioral outcomes of students with autism spectrum disorder: A systematic review. Education and Training in Autism and Developmental Disabilities, 59(2), 133–149.
Mazza, J. J., Cooper, J., & Fleming, C. (2017). Emotion regulation difficulties and executive dysfunction in children with autism spectrum disorder. Journal of Autism and Developmental Disorders, 47(6), 1642–1655.
Simmons, C. A., Ardoin, S. P., Ayres, K. M., & Powell, L. E. (2022). Parent-implemented self-management intervention on the on-task behavior of students with autism. School Psychology, 37(3), 273–284.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น