นักเรียนที่ฝึกใช้ เช็กลิสต์งานเพื่อกำหนดลำดับขั้นตอนในการทำใบงาน จะได้ฝึกการวางแผนและการจัดลำดับไปพร้อมกัน ส่วนการใช้ ตัวจับเวลาแบบภาพ ก็เป็นการฝึกการควบคุมเวลา
ตลอดเวลาตั้งแต่เป็นเด็กจนเติบโตขึ้นมาเป็นครู ผมพบว่านักเรียนแต่ละยุคแตกต่างกันตามทฤษฎีที่พวกเราส่วนใหญ่รู้กัน แต่ก็มีหลายสิ่งที่เหมือนกันไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม เช่น ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ตารางงานที่แน่นขนัด และกิจกรรมที่เปลี่ยนไปตลอดวัน จึงยากที่นักเรียนส่วนใหญ่จะปรับตัวได้ ยิ่งในปัจจุบันที่มีสิ่งเร้า มีเทคโนโลยี ค่านิยมต่าง ๆ ที่แทรกเข้ามาจึงยากในการปรับตัวมากกว่าเดิมเสียอีก
เพียงแต่ถ้าพยายาม และมีเงื่อนไขที่มากเพียงพอ พวกเขาก็สามารถจัดการเวลาและงานได้ แต่สำหรับ นักเรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ต่อให้เงื่อนไขพร้อม มีทรัพยากร มีเวลา มีผู้ปกครอง มีครูคอยช่วย ก็ยังเป็นเรื่องท้าทายและซับซ้อนกว่าที่เห็น เมื่อพวกเขา (นักเรียนออทิซึมฯ) พยายามบริหารเวลาและงาน สิ่งที่มักจะพบเห็นก็คือ พวกเขามักเริ่มทำงานล่าช้า หยุดบ่อยระหว่างทาง หรือหลุดจากกิจกรรมกลางคัน และต้องอาศัยการเตือนซ้ำจากครูอยู่เสมอ
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการขาดความพยายาม แต่มีรากฐานมาจากข้อจำกัดของ ทักษะสมองส่วนหน้า (Executive Functions: EF) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการวางแผน จัดลำดับ ติดตาม และยืดหยุ่น เพื่อปรับพฤติกรรมให้เหมาะกับสถานการณ์ แต่เมื่อ EF ของพวกเขาทำงานได้ไม่เต็มที่ พวกเขาจึงมักจะประสบปัญหาในการควบคุมเวลาและงานในชีวิตประจำวันมากอย่างมีนัยสำคัญ
แต่นี้ไม่ใช่ความสิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะมีงานวิจัยเชิงประจักษ์จำนวนมากได้ชี้ให้เห็นว่า ความสามารถในการจัดการตนเอง (Self-Management) เป็นสิ่งที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถปรับมาสร้างเป็นเครื่องมือในการช่วยให้นักเรียนกลุ่มนี้เรียนรู้ที่จะจัดการกับเวลาและงานของตนเองได้อย่างเป็นระบบ
การจัดการตนเองไม่เพียงช่วยลดการพึ่งพาครู แต่ยังส่งเสริมความเป็นอิสระในการเรียนรู้และการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน บทความนี้จึงมุ่งเน้นไปที่เหตุผลสำคัญที่ทำให้การจัดการตนเองเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบริบทห้องเรียนไทย พร้อมเชื่อมโยงกับหลักฐานทางวิชาการที่ยืนยันประสิทธิผลของแนวทางนี้อย่างชัดเจน
5 เหตุผลที่การจัดการตนเองคือทางเลือกที่ดีที่สุด
1) เชื่อมโยงตรงกับนิยามของการจัดการเวลาและงาน
การจัดการเวลาและงาน หมายถึง เครื่องมือในการพัฒนาตนเองที่เน้นให้ผู้เรียน กำหนดเป้าหมาย วางแผน เฝ้าติดตาม ประเมิน และเสริมแรงพฤติกรรมของตนเองอย่างมีระบบ ทั้งเพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่ต้องการ และลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นำไปสู่การพึ่งพาตนเองในระยะยาว
การจัดการเวลาและงานออกแบบให้มี ขั้นตอนที่ชัดเจน วัดผลได้ และส่งเสริมความเป็นอิสระของผู้เรียน (Gural, Sönmez, & Çifci Tekinarslan, 2024; Simmons, Ardoin, Ayres, & Powell, 2022) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนที่ชัดเจนและเป็นระบบ ได้แก่ (1) ตั้งเป้าหมาย (Goal Setting) --> (2) วางแผน (Planning) --> (3) เฝ้าติดตาม (Self-Monitoring) --> (4) ประเมินผล (Self-Evaluation) --> (5) ให้รางวัลตนเอง (Self-Reinforcement)
ส่วนนิยามของการจัดการเวลาและงาน คือ การกำหนดเป้าหมาย วางแผน แปลงงานเป็นขั้นตอน จัดลำดับความสำคัญ จัดสรรและควบคุมเวลา เริ่ม และเสร็จงานตามเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งลดสิ่งรบกวน ติดตาม ประเมินผล และปรับกลยุทธ์ได้ด้วยตนเองอย่างเป็นอิสระ
จะเห็นว่าทั้งสองตัวแปรมีความสอดคล้องกัน กล่าวคือ เมื่อนักเรียนออทิซึมฯ เรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมืออย่าง เช็กลิสต์และตารางเวลาแบบภาพ เพื่อวางแผนและตรวจสอบงานของตนเอง พวกเขาจะสามารถเริ่มงานได้เร็วขึ้น ทำงานได้ต่อเนื่อง และเสร็จงานตรงเวลามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
2) หลักฐานวิจัยรองรับชัดเจนและมีขนาดอิทธิพลสูง
งานวิจัยเชิงประจักษ์หลายชิ้นยืนยันอย่างชัดเจนว่า โปรแกรมการจัดการตนเอง (Self-Management Programs) เป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิผลสูงที่สุดในการพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะการทำงานของนักเรียนออทิซึมฯ โดยการสังเคราะห์งานวิจัยในปี 2024 รายงานว่าขนาดอิทธิพลรวมของโปรแกรมนี้ (Tau-U ≈ 0.93) อยู่ในระดับ “สูงมาก” ซึ่งถือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แข็งแรงในทางวิทยาศาสตร์ สนับสนุนว่าการฝึกให้ผู้เรียนสามารถติดตาม ประเมิน และควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้จริงในสถานการณ์จริงนั้นให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เช่น นักเรียนฯ ใช้ ตัวจับเวลาแบบภาพ (Visual Timer) เพื่อให้เห็นเวลาที่เหลือในการทำงาน การใช้การเฝ้าติดตามตนเอง (Self-Monitoring) และบันทึกความก้าวหน้าของงานเป็นระยะ ๆ รวมไปถึงการให้รางวัลแบบระบบโทเค็น (Token System) เมื่อทำงานสำเร็จ ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักเรียนออทิซึมฯ มีสมาธิกับงาน (on-task behavior) มากขึ้น ทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนด และลดพฤติกรรมก่อกวนในชั้นเรียนอย่างเห็นได้ชัด (Simmons et al., 2022; Gural et al., 2024)
3) เหมาะสมกับบริบทห้องเรียนรวมที่มีข้อจำกัด
ในบริบทของห้องเรียนรวมของประเทศไทย มักมีจำนวนนักเรียนมาก (40-50 คน) ครูจึงไม่สามารถดูแลหรือเตือนนักเรียนแต่ละคนได้อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา โปรแกรมการจัดการตนเอง (Self-Management Program) จึงกลายเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยถ่ายโอนอำนาจการกำกับพฤติกรรมจากครูไปสู่ตัวผู้เรียน ทำให้นักเรียนสามารถควบคุมและประเมินพฤติกรรมของตนเองได้โดยอิสระมากขึ้น
โดยครูสามารถเตรียมเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ เช่น เช็กลิสต์งานประจำวัน (Daily Checklist) สำหรับให้นักเรียนฯ ตรวจว่างานใดทำเสร็จแล้ว ตารางเวลาแบบภาพ (Visual Schedule) เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจลำดับกิจกรรมในวันนั้น หรือตัวจับเวลาแบบภาพที่ทำให้เด็กเห็นเวลาคงเหลือในการทำงานได้ชัดเจน เช่น นักเรียนออทิซึมฯอาจใช้ตัวจับเวลาแบบภาพตั้งเวลา 10 นาทีเพื่อทำใบงานหนึ่งชิ้น แล้วเช็กใน ใบ Checklist เมื่อเสร็จสิ้น ครูเพียงตรวจสอบภาพรวมโดยไม่ต้องคอยเตือนรายบุคคล
การติดตามและประเมินตนเอง เพื่อพัฒนาการวางแผน การจัดลำดับความสำคัญ และความคืบหน้าของงาน
แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระของครูในการกำกับดูแลพฤติกรรม แต่ยังสามารถปรับระดับความยากของเครื่องมือให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนออทิซึมฯ ที่มีความสามารถสูง (high-functioning) ที่สามารถใช้แอปพลิเคชันบนแท็บเล็ตเพื่อติดตามตนเองได้ หรือเด็กที่มีความสามารถต่ำ (low-functioning) ที่ใช้สื่อภาพหรือสัญลักษณ์พื้นฐานติดตามงานแทนเครื่องมือที่ซับซ้อน
4) แปลงทักษะที่เกี่ยวข้องกับสมองส่วนนห้าที่เป็นนามธรรมให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้
ทักษะที่เกี่ยวข้องกับสมองส่วนหน้า เช่น การวางแผน การจัดลำดับงาน และการติดตามความคืบหน้า มักถูกมองว่าเป็น “ทักษะนามธรรม” ที่ยากต่อการประเมินในบริบทห้องเรียนจริง เพราะไม่สามารถวัดได้โดยตรงเหมือนคะแนนสอบหรือผลงานชิ้นงาน แต่ โปรแกรมการจัดการตนเอง (Self-Management) ช่วยแปลงกระบวนการทาง EF เหล่านี้ให้กลายเป็น พฤติกรรมที่สังเกตและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตัวอย่างเช่น นักเรียนออทิซึมฯ ที่ฝึกใช้ เช็กลิสต์งานเพื่อกำหนดลำดับขั้นตอนในการทำใบงาน จะได้ฝึก การวางแผนและการจัดลำดับ (Organization) ไปพร้อมกัน ส่วนการใช้ ตัวจับเวลาแบบภาพ เพื่อเริ่มงานและทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด ก็เป็นการฝึกการควบคุมเวลา (Time Management) และการติดตามตนเอง (Monitoring Progress) ซึ่งครูสามารถเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรม เช่น
- เริ่มงานตรงเวลา (Task Initiation) หรือไม่
- เปอร์เซ็นต์เวลาที่อยู่กับงาน (On-task Percentage)
- จำนวนงานที่เสร็จตามกำหนด (Task Completion Rate)
และสุดท้ายครูอาจสังเกตว่านักเรียนใช้เวลาเริ่มงานลดลงจาก 5 นาทีเหลือเพียง 1 นาทีภายในสัปดาห์ที่สาม ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาทักษะการควบคุมตนเองอย่างชัดเจน
5) ส่งเสริมความเป็นอิสระที่ยั่งยืนผ่านระบบภายนอก
การจัดการตนเอง เป็นเครื่องมือที่สามารถได้ไกลมากกว่าการควบคุมตนเอง (Self-Control) ซึ่งเน้นการยับยั้งพฤติกรรมเฉพาะหน้า เพราะการจัดการตนเองมุ่งสร้าง “ระบบภายนอกที่เป็นรูปธรรม” ให้ผู้เรียนใช้กำกับตนเองได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น เช็กลิสต์สำหรับติดตามงาน, ตารางเวลาภาพที่บอกลำดับกิจกรรมในวันนั้น หรือระบบโทเค็น (Token System) ที่ใช้สะสมคะแนนเพื่อแลกรางวัล ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่ช่วยให้นักเรียนออทิซึมฯ สามารถมองเห็นพฤติกรรมของตนเอง และค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การควบคุมโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างเช่น นักเรียนออทิซึมฯ คนหนึ่งอาจเริ่มต้นด้วยการใช้เช็กลิสต์เพื่อตรวจว่างานแต่ละชิ้นเสร็จหรือยัง โดยครูอาจให้รางวัลเล็ก ๆ เช่น สติ๊กเกอร์ทุกครั้งที่เขาทำครบตามรายการ เมื่อเวลาผ่านไป นักเรียนฯ จะค่อย ๆ ไม่ต้องพึ่งรางวัลอีกต่อไป แต่จะรู้สึกพึงพอใจจากการทำสำเร็จด้วยตนเอง
การฝึกดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่การควบคุมพฤติกรรมชั่วคราวแต่เป็นการสร้าง โครงสร้างภายนอก (External Scaffolding) ที่หล่อหลอมให้เกิด วินัยภายใน (Internal Discipline) อย่างยั่งยืน (External --> Internal)
เมื่อฝึกใช้อย่างสม่ำเสมอ ระบบเหล่านี้จะถูกซึมซับเป็นนิสัย ทำให้นักเรียนฯ สามารถ จัดการเวลา จัดลำดับงาน และทำงานจนเสร็จได้ด้วยตนเอง แม้ไม่มีครูอยู่ใกล้ชิด ซึ่งสะท้อนเป้าหมายสูงสุดของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คือการสร้างผู้เรียนที่มีความรับผิดชอบ มีทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง และพร้อมใช้ชีวิตในสังคมอย่างอิสระในระยะยาว
Concept ดังกล่าวสามารถใช้กับนักเรียนทั่วไป หรือแม้กระทั่งบุคคลที่มีความประสงค์จะพัฒนาทักษะการจัดการเวลาและงาน ตัวแปรการจัดการตนเองที่ผมศึกษามา ไม่ได้แตกต่างกับทฤษฎีการจัดการตนเองที่มีกันอยู่ในหนังสือพัฒนาตนเองที่มีชื่อเสียงตามร้านหนังสือชั้นนำ เพราะไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีใดก็ตามล้วนจะต้องผ่านการฝึกฝนทั้งสิ้น เพียงแต่ Concept การจัดการตนเองของนักเรียนออทิซึมฯ จะต้องมีขั้นตอนและภาพที่ชัดเจน ไม่ซับซ้อน สามารถทำได้ด้วยตนเองได้
ด้วยเหตุนี้เอง การจัดการตนเองจึงเป็นแนวทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเสริมสร้างทักษะการจัดการเวลาและงานของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม เพราะไม่เพียงตอบโจทย์เชิงทฤษฎีและได้รับการยืนยันด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ยังปรับใช้ได้จริงในบริบทห้องเรียนไทย
และที่สำคัญที่สุด มันคือ สะพานที่เชื่อมจากการพึ่งพาครู สู่การเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน
อ้างอิง
Aydın, O., Sulu, M. D., & Ari‑Arat, C. (2024). A meta‑analysis of self‑management interventions in teaching daily living skills to autistic individuals. Journal of Autism and Developmental Disorders, 55(7), 2377–2392. https://doi.org/10.1007/s10803-024-06355-w
Gural, S., Sönmez, N., & Çifci Tekinarslan, İ. (2024). Effects of self-management interventions on academic and behavioral outcomes of students with autism spectrum disorder: A systematic review. Education and Training in Autism and Developmental Disabilities, 59(2), 133–149.
Hume, K., Steinbrenner, J. R., Odom, S. L., Morin, K. L., Nowell, S. W., Tomaszewski, B., et al. (2021). Evidence-based practices for children, youth, and young adults with autism: Third generation review. Journal of Autism and Developmental Disorders, 51, 4013–4032. https://doi.org/10.1007/s10803-020-04844-2
Sam, A., & AFIRM Team. (2016). Self-management (SM): EBP brief packet. The University of North Carolina at Chapel Hill, Frank Porter Graham Child Development Institute, Autism Focused Intervention Resources & Modules (AFIRM). Retrieved from
Simmons, C. A., Ardoin, S. P., Ayres, K. M., & Powell, L. E. (2022). Parent-implemented self-management intervention on the on-task behavior of students with autism. School Psychology, 37(3), 273–284. https://doi.org/10.1037/spq0000501
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น