AI-Enhanced Collaboration: สามยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อเสริมพลังความร่วมมือระหว่างครูการศึกษาพิเศษและผู้ปกครอง
เมื่อผสานกำลังของ AI ครูการศึกษาพิเศษจะสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น
ในฐานะที่เป็นครูการศึกษาพิเศษ ความร่วมมือระหว่างครูฯ และผู้ปกครองสำคัญมาก เรียกได้ว่า "เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดเส้นทางพัฒนาการของเด็กเป็นรายบุคคล" งานวิจัยระดับนานาชาติ เช่น Journal of Special Education และ Exceptional Children ต่างพบว่า ความก้าวหน้าของเด็กพิเศษไม่เพียงขึ้นอยู่กับโปรแกรมการสอนเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ คุณภาพความสัมพันธ์บ้าน–โรงเรียน อย่างลึกซึ้ง
แต่ความร่วมมือดังกล่าว ไม่ง่ายเสมอไป มันมีกำแพงที่มองไม่เห็น เพราะต่างคนต่างก็เป็นมนุษย์ที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะครูที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ กับผู้ปกครองที่มีความเชื่อมั่นในตนเองค่อนข้างสูง กำแพงกั้นยิ่งหนาเข้าไปใหญ่
ด้วยความยากลำบากนี้ เราสามารถหาตัวช่วยมาแทรกแซงเสริมพลังได้ โชคดีที่ในปัจจุบันเรากำลังอยู่ในยุคของการประยุกต์ใช้ AI ในหลายภาคส่วน การศึกษาก็เช่นเดียวกัน ผมอยากจะนำเสนอ AI-Enhanced Collaboration คือ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเสริมพลังความร่วมมือระหว่างคนกับคน
เพราะในโลกจริง ครูการศึกษาพิเศษต้องเผชิญกับข้อจำกัดจำนวนมาก ทั้งภาระงานที่สูง การเก็บข้อมูลพฤติกรรมรายวัน การสื่อสารกับผู้ปกครองที่หลากหลายอารมณ์ และแรงกดดันจากผลลัพธ์ของผู้เรียน ความร่วมมือกลายเป็นเรื่องท้าทายกว่าที่คิด
โดยเราสามารถนำมาใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นครูกับผู้ปกครอง ครูกับนักเรียน หรือทีมงานกับองค์กร ผมไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการนำเอา AI มาแทนที่มนุษย์ แต่ช่วยทำให้การสื่อสาร การตัดสินใจ และการทำงานร่วมกัน ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในบริบทการศึกษาพิเศษ หมายถึงการใช้ AI เพื่อ
1) เก็บข้อมูลพฤติกรรม
2) วิเคราะห์แนวโน้ม
3) ร่างข้อความถึงผู้ปกครอง
4) สร้างสคริปต์การสื่อสารที่มีความ Empathy
5) ลดภาระงาน ทำให้ครูเพื่อนำเวลามาทุ่มเทกับส่วนอื่นที่สำคัญมากขึ้น
ทุกท่านจะเห็นว่า AI ไม่ได้เป็นหุ่นยนต์ แต่ช่วยให้ครูลดภาระที่กินเวลา และเปิดพื้นที่ให้ครูใช้พลังกับสิ่งที่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ดีที่สุด คือเข้าใจนักเรียนและผู้ปกครอง
AI สามารถเป็นเครื่องมือใครครูการศึกษา เข้าใจและสื่อสารกับผู้ปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากการศึกษาของผม และทดลองใช้ AI สำหรับช่วยเหลือครูมาแล้ว จึงอยากจะเสนอ 3 ยุทธศาสตร์สำคัญที่ผสานการทำงานของครูและ AI เพื่อยกระดับความร่วมมือบ้าน และโรงเรียนในงานการศึกษาพิเศษให้ทรงพลังและเป็นระบบมากขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 1 Data-Based Decision Making (DBDM)
จากประสบการณ์ของผม ข้อความว่า “วันนี้น้องดื้อมากครับ” ไม่ได้ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจ และอาจกระตุ้นความรู้สึกตั้งรับทันที ผู้ปกครองบางท่านอาจจะคิดว่า "มันเป็นหน้าที่ของคุณหรือเปล่า" กล่าวคือผู้ปกครองบางท่านอาจจะคิดว่าครูกำลังโยนปัญหาเข้ามาใส่ตนเอง
ดังนั้นเราควรจะใช้ข้อมูลที่สังเกตได้ งานวิจัยของ Cook และคณะ (Cook et al, 2018) และ Gage และคณะ (Gage et al.,2020) ยืนยันว่า เมื่อครูใช้ ข้อมูลที่สังเกตได้จริง (Observable data) เช่น จำนวนครั้งที่ลุก เดิน หรือความถี่ของการเรียกเพื่อนแทนการตีความ ความร่วมมือของผู้ปกครองเพิ่มขึ้นทันที
ยกตัวอย่างเช่น “ช่วง 10:00–10:30 น. นักเรียนลุกจากที่นั่ง 5 ครั้ง ลดลงจาก 9 ครั้งเมื่อวาน ถือว่าดีขึ้นครับ" นี่คือภาษาวิชาชีพที่ผู้ปกครองเชื่อถือ เพราะไม่ใช่ความคิดเห็น แต่คือความจริงที่เกิดขึ้น และยังเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ไม่มีผลกระทบเชิงลบทางจิตใจกับผู้ปกครองอีกด้วย ซึ่งเราสามารถนำ AI มาใช้ได้โดย
1) ช่วยครูบันทึกข้อมูลพฤติกรรมแบบกึ่งอัตโนมัติ
2) แปลงข้อมูลรายวันเป็นกราฟและแนวโน้มรายสัปดาห์
3) วิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรม เช่น ช่วงเวลาที่เกิดปัญหามากที่สุด
ยุทธศาสตร์ที่ 2 Proactive Positive Contact
นี้คือสิ่งที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์แรก การสื่อสารควรจะมีเชิงบวกอยู่ในนั้นเสมอ แม้ประเด็นหลักที่เราต้องการสื่อสารจะเป็นเชิงลบ หรือข่าวร้าย ยิ่งการสื่อสารในครั้งแรกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะงานวิจัยด้าน Family-School Partnership โดย Sheridan & Kim (2015) ชี้ว่า การติดต่อผู้ปกครองครั้งแรกควรเป็นสิ่งดี ไม่ใช่ปัญหา เพราะผู้ปกครองเด็กพิเศษส่วนใหญ่มีระดับความเครียดสูง และเคยชินกับการได้รับข่าวร้ายก่อนเสมอ
จากประสบการณ์ของผม เราสามารถให้ข้อดีในการสื่อสารได้แม้จะเป็นเรื่องเล็กก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น “วันนี้น้องทานข้าวหมดจานครับ” “วันนี้ช่วยเพื่อนเก็บของก่อนกลับบ้าน” หรือ “วันนี้ยกมือขอเข้าห้องน้ำได้ด้วยตัวเองหนึ่งครั้ง” ซึ่งเราสามารถนำ AI มาใช้ได้ดังนี้
1) ร่างข้อความสั้น ๆ เชิงบวกให้ครูส่งไปยังผู้ปกครอง
2) ช่วยเลือกจุดแข็งเฉพาะตัวเด็ก
3) ตั้งแจ้งเตือนรายสัปดาห์ให้ครูไม่ลืมส่งข่าวดี
4) ช่วยเก็บประวัติจุดแข็งของเด็กเพื่อใช้ต่อยอดใน IEP
ยุทธศาสตร์ที่ 3 L-V-A Communication
หากกล่าวได้เรื่องความขัดแย้งระหว่างครูและผู้ปกครอง ในงานการศึกษาพิเศษ ความขัดแย้งส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากเนื้อหาแต่เกิดจาก “ความรู้สึกที่ยังไม่ได้ถูกยอมรับ” งานวิจัยด้าน Family Therapy และงานของ Hayes & Watson (2013) พบว่า ผู้ปกครองเด็กพิเศษมีระดับความเครียดสูงกว่าโดยเฉลี่ย
ดังนั้นการสื่อสารจึงต้องเน้น “ความเข้าใจมนุษย์” เป็นหัวใจ ผมจึงอยากเสนอสูตรเรียบง่ายทรงพลังที่เรียกว่า L-V-A
L คือ Listen ฟังจนจบ โดยไม่แทรก
V คือ Validate สะท้อนความรู้สึก เช่น “คุณแม่กังวลเรื่องการเขียน เพราะมันสำคัญจริง ๆ ผมเข้าใจเลยครับ” นี่ไม่ใช่การยอมรับผิด แต่เป็นการแสดงออกว่า "เราเข้าใจความรู้สึกของผู้ปกครอง"
A คือ Action เสนอทางแก้หรือถามเพื่อหาความร่วมมือ “เรามาลองเสริมกิจกรรมบีบนวดมือวันละ 3 นาทีดีไหมครับ”
ซึ่งเราสามารถนำ AI มาใช้ได้ดังนั้น
1) ช่วยเตรียมสคริปต์สนทนาสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ
2) สรุปการประชุมผู้ปกครองให้อัตโนมัติ
3) แนะนำประโยคสะท้อนความรู้สึกตามหลัก Empathic Communication
4) วิเคราะห์ข้อความผู้ปกครองเพื่อหาน้ำเสียงและความกังวล
สามยุทธศาสตร์ที่ประกอบไปด้วย DBDM, Positive Contact, และ L-V-A เป็นหลักฐานจากงานวิจัยทั้งในไทยและต่างประเทศว่า สามารถยกระดับความร่วมมือบ้าน และโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อผสานกำลังของ AI ครูการศึกษาพิเศษจะสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น เพื่อจะสามารถ (1) ทำงานแม่นยำขึ้น (2) สื่อสารได้อย่างเที่ยงตรงและเห็นอกเห็นใจ (3) ลดภาระงานเอกสาร และ (4) ใช้เวลาไปกับ “การมองเห็นนักเรียน” มากขึ้น
แม้ในปัจจุบันการใช้ AI ประกอบการเรียนจะค่อนข้างเป็นข้อถกเถียง มีข้อดี และข้อเสีย แต่การนำ AI มาช่วยในการทำงาน เป็นประโยชน์อย่างมาก ผมเชื่อว่าครูการศึกษาพิเศษไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกแทนที่ เพราะครูไม่ได้สอนแค่ทักษะ แต่สอนด้วย “หัวใจ” และทำงานกับ “มนุษย์ที่มีความซับซ้อน” AI เพียงเข้ามาเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครู
ทำงานได้ดีขึ้น ชัดเจนขึ้น และมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม
อ้างอิง
Cook, C. R., Collins, T., Dart, E. H., Vance, A., Chan, P. K., & Chan, P. T. (2018). Small-group, motivational interventions for school-aged youth with ADHD: A meta-analysis. School Psychology Review, 47(1), 62–75. https://doi.org/10.17105/SPR-2017-0042.V47-1
Corbett, B. A., Muscatello, R., & Burroughs, C. (2024). The role of everyday executive function in observed social symptoms of autism spectrum disorder. Journal of Autism and Developmental Disorders, 54(2), 451–465. https://doi.org/10.1007/s10803-023-05949-w
Hayes, S. A., & Watson, S. L. (2013). The impact of parenting stress: A meta-analysis of studies comparing the experience of parenting stress in parents of children with and without autism spectrum disorder. Journal of Autism and Developmental Disorders, 43(3), 629–642. https://doi.org/10.1007/s10803-012-1604-y
Gage, N. A., Grasley-Boy, N., Peshak George, M., Childs, K., & Kavanaugh, B. C. (2020). Universal behavior screening in schools: A systematic review. School Psychology Review, 49(1), 121–135. https://doi.org/10.1080/2372966X.2020.1717307
Sheridan, S. M., & Kim, E. M. (2015). Foundational aspects of family–school partnerships. In S. M. Sheridan & E. M. Kim (Eds.), Foundational aspects of family–school partnerships (pp. 1–14). Springer. https://doi.org/10.1007/978-3-319-16931-6_1
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น