เหตุใดทักษะสังคมของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัมไม่ดีขึ้น แม้ฝึกมานาน

ความยากลำบากทางสังคมของนักเรียนออทิซึมฯ อาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากความรุนแรงของภาวะฯ เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความล้มเหลวของระบบทักษะสมองส่วนบริหาร

            ตลอดเวลาที่ผมเรียนทางด้านการศึกษาพิเศษ และเป็นครูด้านการศึกษาพิเศษ การฝึกทักษะทางสังคมเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม  แต่สิ่งที่พบเจอคือเมื่อดำเนินการฝึกฝนทั้งปีการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ฝึกสบตา ทักทาย เล่นบทบาทสมมติ หรือทำกิจกรรมกลุ่ม ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ผลลัพธ์กลับไม่ง่ายตามนั้น

            เพราะในสถานการณ์จริงพวกเขากลับยัง ไม่สบตา ไม่เข้าหาเพื่อน ยังคงพูดแทรก ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ หรือเดินออกจากสถานการณ์ทันที จึงเกิดคำถามว่า “ฝึกตั้งนาน…ทำไมยังไม่ดีขึ้น”  

            จนกระทั่งผมได้ศึกษางานชื่อ The role of everyday executive function in observed social symptoms of autism spectrum disorder โดย Burroughs, Muscatello & Corbett (2024) ก็พบว่าเพราะปัญหาสังคมไม่ได้เกิดจาก “ไม่เข้าใจสังคม” แต่เกิดจากสมองส่วนบริหาร หรือที่เรียกกันว่า executive function (EF) ตามไม่ทันในเวลาจริง

            กล่าวคือนักเรียนออทิซึมฯ ส่วนใหญ่เมื่อเราสอน เขาจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร เช่น รอคิว สบตา เปลี่ยนหัวข้อ สนใจคนอื่น กล่าวคือ พวกเขาเข้าใจกฎสังคมได้มากกว่าที่เราคิด แต่ “การรู้” ไม่ได้แปลว่า “ทำได้”

            ในงานวิจัยนี้เจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างสมองส่วนบริหาร (EF) หรือ และอาการทางสังคมในกลุ่มวัยรุ่นออทิซึมฯ จำนวน 140 ราย ที่มีระดับสติปัญญาปกติ (IQ  70) โดยจุดเด่นของการศึกษานี้อยู่ที่การใช้สถิติ Hierarchical Multiple Regression เพื่อพิสูจน์บทบาทของ EF ในชีวิตประจำวัน วัดโดย BRIEF-2 ผ่านมุมมองผู้ปกครอง และทักษะทางสังคมวัดโดย SRS-2 (ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีมาตรฐานค่อนข้างสูง)

            โดยในขั้นตอนแรกของการวิเคราะห์ ผู้วิจัยได้ทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ ระดับความรุนแรงของอาการออทิซึม (วัดโดยแพทย์ผ่าน ADOS-2) รวมถึงปัจจัยพื้นฐานอย่างอายุและระดับสติปัญญากระบวนการนี้เปรียบเสมือนการกรองผลกระทบจากลักษณะประจำตัวของโรคออกไปก่อน เพื่อพิสูจน์บทบาทของ EF อย่างแท้จริง 

            เมื่อเผชิญสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน ความยากลำบากทางสังคมของนักเรียนออทิซึมฯ อาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากความรุนแรงของภาวะฯ เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความล้มเหลวของระบบทักษะสมองส่วนบริหาร ในการกำกับดูแลพฤติกรรม การควบคุมอารมณ์ และความยืดหยุ่น ให้ตอบสนองได้เหมาะสมและทันท่วงที ประเด็นนี้ได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นจากการศึกษานี้

            พวกเขาพบว่าปัญหาด้าน EF ในชีวิตประจำวันมีอำนาจในการทำนายความยากลำบากทางสังคมได้ครอบคลุมแทบทุกด้าน ความน่าสนใจอยู่ที่ความรัดกุมของการวิเคราะห์ที่ชี้ว่า แม้จะควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอย่างระดับความรุนแรงของอาการออทิซึมฯ (ที่ประเมินโดยแพทย์ผ่าน ADOS-2) ออกไปแล้ว ทักษะ EF (โดยเฉพาะด้านการควบคุมพฤติกรรม) ยังคงส่งผลต่อทักษะสังคมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 

ดังนั้นถ้ามี EF ที่ดี ก็มีแนวโน้มว่าทักษะทางสังคมจะพัฒนาได้ง่ายมากขึ้นด้วย

            ข้อค้นพบนี้จึงเป็นการยืนยันเชิงประจักษ์ว่า ความบกพร่องด้าน EF เป็นปัจจัยเสี่ยงที่แยกเป็นอิสระ (Independent predictor) และส่งผลกระทบโดยตรงต่อทักษะสังคม ไม่ใช่เพียงผลพลอยได้จากระดับความรุนแรงของภาวะออทิซึมฯ แต่อย่างใด

            ตัวอย่างง่าย ๆ เด็กอาจ “รู้” ว่าต้องรอคิว แต่เมื่อถูกกระตุ้น เสียงดัง เพื่อนพูดเร็ว สิ่งล่อใจเยอะ การทำงานของสมองส่วนบริหารทำงานไม่ทัน  ขาจะพูดแทรกทันที จากตัวอย่างนี้จึงไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ แต่เป็นเพราะร่างกายและสมองไม่ตอบสนองตามเวลาจริง  และที่น่าสนใจไม่ได้มีเพียงแค่นี้ 

            งานวิจัยนี้ยังพบอีกว่า เด็กผู้หญิงออทิซึมฯมีสมองส่วนบริหาร ที่ทำงานหนักเพื่อ “พรางอาการ” (ข้อจำกัดทางสังคม) พวกเธอสามารถยิ้ม พยักหน้า และเล่นตามบทได้ดี  แต่ภายในเหนื่อย เครียด และ ร้ามากกว่าเด็กผู้ชายออทิซึมฯ 

        จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ภาพลวงตาทางสังคม” คือ “น้องผู้หญิงปกติดีนี่คะ” แต่จริง ๆ แล้วนักเรียนฯ แค่ใช้ EF เพื่อแสดงบทบาททางสังคมนั้นเอง  ผลคือเด็กผู้หญิงมักไม่ได้รับการช่วยเหลือเร็วพอ เพราะปัญหาสังคมไม่แสดงออกภายนอกชัดเจน

Social skills ควรมาพร้อมกับ Executive function skills

            การฝึกทักษะสังคมอย่างเดียวจึงมักได้ผลแค่ในห้องฝึก แต่ไม่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง (หรือทำได้บางบริบทเท่านั้น) เพราะนักเรียนยังจัดการอารมณ์ไม่ได้  ยืดหยุ่นไม่ได้ เมื่อสิ่งรอบ ๆ ตัวไม่เป็นเหมือนตอนที่เขาเรียน หรือไม่เป็นไปตามบท จะทำให้เขาไม่สามารถปรับตัวได้ เพราะสถานการณ์เปลี่ยน และกดดันจน EF overload 

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเด็กบางคน “ทำได้ในห้องฝึก แต่ทำไม่ได้ในสนามจริง”  เพราะทักษะทางสังคมฝึก “ความรู้” แต่ EF ฝึก “การใช้งานจริง” 

            ทางออกคือ งานวิจัยของ Burroughs และคณะ (2024) แสดงให้เห็นว่า “ทักษะสังคมที่ดี” ของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึม ไม่ได้เกิดจาก Social skills เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี ระบบ EF ที่แข็งแรงพอจะใช้ทักษะนั้นในเวลาจริง ดังนั้น ผมจึงอยากนำเสนอแนวทางช่วยเหลือดังต่อไปนี้

            1. ต้องฝึก EF ควบคู่กับ Social Skills ในอดีต ครูและนักบำบัดมักใช้ Social Skills Training (SST) ในรูปแบบ “ฝึกกติกา” เช่น ฝึกสบตา ฝึกรอคิว ฝึกทักทาย  ฝึกเล่นร่วมกัน แต่ปัญหาคือ เด็กทำได้ใน “ห้องฝึก” แต่ทำไม่ได้เมื่ออยู่ในสนามจริง เพราะ EF ยังไม่แข็งแรง ดังนั้น การฝึกต้องเสริม EF เข้าไปด้วย เช่น 

                1.1 ฝึกการยับยั้ง (Inhibition Games) สามารถใช้เกมง่าย ๆ ที่ทำให้เด็ก “รอ  หยุด และเปลี่ยนทิศทาง” เช่น ไซม่อนพูด (Simon Says) หรือเกมที่เล่นเลียนแบบการทำตามคำสั่งที่ขึ้นต้นด้วย "ไซม่อนพูดว่า..." หรือ เกมจับคู่ที่ต้องรอคำสั่งก่อน ช่วยให้เด็กยับยั้งการพูดแทรก การเดินหนี หรือการตอบสนองที่ไม่เหมาะสม

                1.2 ฝึกความยืดหยุ่นทางความคิด  โดยการเปลี่ยนกติกาของเกมกะทันหัน  หรือให้เด็กลองคิดวิธีอื่นที่ไม่ใช่วิธีเดิม เพื่อลดการยึดติด และช่วยให้เด็กปรับตัวเมื่อเพื่อนเปลี่ยนหัวข้อหรือเล่นไม่ตามแผน

                1.3 ฝึกจัดการอารมณ์ สอนเด็กให้ใช้สัญญาณมือ แทนการระเบิดอารมณ์ หรือให้เด็กวัดอารมณ์ของตนเองด้วย Thermometers  หรือ สอนกลยุทธ์หายใจลึก 4–4–4  เพื่อลดภาวะสูญเสียการควบคุมตนเอง  (Meltdown) เพิ่มความสามารถทนต่อเสียงดัง ความวุ่นวาย และแรงกดดันทางสังคม

                1.4 ใช้ Visual Schedule  งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า การเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ช่วยลดการทำงานหนักของสมองส่วนบริหาร เพราะเด็กไม่ต้อง “เดา” ว่าต้องทำอะไร เพื่อช่วยให้เด็กเข้าสังคมได้ดีขึ้นเพราะรู้ขั้นตอนและคาดเดาสถานการณ์ได้

            2. ต้องมองเด็กหญิงให้ต่างจากเด็กชาย เพราะเด็กหญิงมักใช้ EF เพื่อทำตัวให้ปกติมากกว่าเด็กชาย จึงดูเหมือนไม่มีปัญหา ทั้งที่เหนื่อยล้าและเก็บกด นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Social Camouflaging หรือ Masking งานวิจัยพบว่าเด็กผู้หญิงจะ พยายามเลียนแบบพฤติกรรมเพื่อน ฝืนยิ้ม ฝืนสบตา พยักหน้าตามมารยาท  พูดน้อยเพื่อไม่ผิดคิว และพยายามไหลตามกลุ่มแม้จะเครียดมาก ดังนั้นต้องให้พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์มากกว่า

            3. ประเมินทักษะทางสังคม ควบคุมกับ EF (สามารถใช้ SRS-2 ควบคู่กับ BRIEF-2หลายโรงเรียนหรือคลินิกประเมินเฉพาะ  วัดทักษะสังคมผิวเผิน แต่ขาดการวัด EF ในชีวิตจริง  ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดภาพลวงตาว่า “เด็กสังคมดีแล้ว” ทั้งที่ EF ยังอ่อนแอมาก  เมื่อใช้สองแบบประเมินคู่กัน จะเห็นว่า “ปัญหาสังคม” มาจากอะไรกันแน่  ความรู้ด้านสังคม หรือ EF 

            ตัวอย่างผลที่อาจพบ SRS-2 (สังคม) คะแนนดี  เด็กสามารถรู้หลักสังคม แต่ BRIEF-2 (สมองส่วนบริหาร) คะแนนแย่  เด็กทำไม่ได้ในสถานการณ์จริง   ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการวางแผนสอนและบำบัด  เพราะถ้าไม่ประเมิน EF เราจะไม่เห็น “รากของปัญหา” จึงเห็นเหตุที่ทักษะสังคมของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัมไม่ดีขึ้น แม้ฝึกมานาน

            ดังนั้น ทักษะสังคมของนักเรียนออทิซึมฯ ไม่ดีขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่พยายาม แต่เพราะเรายังไม่ได้ช่วยใน “ระบบปฏิบัติการสมอง” ที่ควบคุมทักษะนั้น ๆ  ทักษะทางสังคมคือสิ่งที่นักเรียนควรรู้ สมองส่วนบริหารคือสิ่งที่ทำให้นักเรียนใช้ความรู้ได้จริง และการเข้าใจนักเรียนออทิซึมเพศหญิงได้อย่างถูกต้อง 

จะช่วยให้เราไม่พลาดนักเรียนที่ดูดีภายนอก แต่เหนื่อยล้าภายใน

อ้างอิง

Burroughs, C., Muscatello, R. A., & Corbett, B. A. (2024). The role of everyday executive function in observed social symptoms of autism spectrum disorder. Journal of Autism and Developmental Disorders, 54(5), 1–15. https://doi.org/10.1007/s10803-023-06253-5


ความคิดเห็น