ความจริงแล้ว คำว่า "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" เป็นพฤติกรรมสำหรับคนที่กระทำรุนแรงเพื่อจะสั่งสอน คนที่อยู่ใต้อำนาจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น คุณครู หรือ พ่อแม่ แน่นอนการลงโทษโดยการตีทำให้สามารถลด หรือยุติพฤติกรรมได้ในทางจิตวิทยา แต่การลงโทษด้วยความรุนแรงหรือใช้การตีเพียงอย่างเดียว เป็นการกระทำที่สิ้นคิด เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย (การทำร้ายร่างกาย เช่น การใช้ไม้เรียวฟาดอย่างรุนแรง) เพื่อบุตร หรือนักเรียนของตนเองเรียนรู้อะไรบางอย่าง นอกจากนั้นเรื่องรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีแล้ว ตัวอย่างที่เราคุ้นชินอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนคนหนึ่งที่ชอบทำบุญช่วยเหลือผู้อื่น แต่กลับเป็นคนที่ชอบทำร้ายและเอาเปรียบคนอื่น หรือ คนที่ชอบพูดออกมาว่าตนเองเป็นคนดี มีศิลธรรม แต่ความจริงแล้วมีพฤติกรรมคดโกงผู้อื่น นี้จึงเป็นตัวอย่างของคำว่า ปากว่าตาขยิบ (Reaction Formation)
กลไกปากว่าตาขยิบ (Reaction Formation)
แล้วเราจะสามารถแยกระหว่าง "ความจริง" กับ "ปากว่าตาขยิบ" ได้อย่างไร ข้อแตกต่างก็คือปากว่าตาขยิบ จะมีอาการของความดัดจริต เลอะเทอะ แสดงออกมากเกินไป ทำเกินกว่าเหตุ โอ้อวด ซึ่งจะดูไม่เข้าเรื่อง เช่น บุคคลที่ทำความดีกับคนอื่นเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง จะมีการพูดโอ้อวด หรือทำอะไรให้ดูเวอร์เกินไป "ผมตั้งใจเสียสละหยาดเหงื่อแรงกายทำสิ่งนี้เพื่อคุณ" จึงมักมีคำพูดที่พูดกันเสมอว่า คนที่ีดีจริง ๆ มักจะไม่โอ้อวด
การกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวหรือโฟเบีย (Phobia) เป็นตัวอย่างของลักษณะ "ปากว่าตาขยิบ" เป็นอย่างดี คนจะกลัวในสิ่งที่น่ากลัว แต่กลัวแบบโฟเบียนั้นเราจะไม่ได้กลัววัตถุนั้นจริง ๆ แต่เกิดจากความเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์ในอดีตกับวัตถุเหล่านั้น (วางเงื่อนไขกับวัตถุนั้น ๆ หรือสถานที่ เช่นเคยถูกขังไว้ในที่แคบตอนเด็ก ๆ เมื่อโตขึ้นมาจึงเกิดอาการกลัวที่แคบ)
นอกจากนั้นลักษณะปากว่าตาขยิบมีผลมาจาก Superego ด้วย โดยความจริงแล้ว Superego เป็นระบบเดียวกับวิธีปากว่าตาขยิบเหมือนกัน ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกัน Ego ให้ไกลจาก Id (สันดานดิบ) เพราะว่าสังคมมองว่าการแสดงสัญชาตญาณดิบออกมาเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เช่น เมื่อมีความต้องการทางเพศ ก็แสดงออกมาให้ผู้อื่นรู้ หรือ หิวก็เข้าไปแย่งผู้อื่นรับประทาน Superego หรืออุดมคติ(การใฝ่ดี)จึงเป็นเหมือนการปากว่าตาขยิบเหมือนกัน เพื่อต่อด้านสันดานดิบ (Id) มากกว่าเป็นคุณค่าที่แท้จริง เช่น การพูดถึงประโยชน์ส่วนรวมจนเกินไปอาจอำพรางความเห็นแก่ตัว หรือการทำบุญสุนทานอย่างมากอาจเป็นการอำพรางความบาปของตนก็ได้
ลักษณะปากว่าตาขยิบจึงเป็นการปรับตัวที่ผิด ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความกังวลวุ่นวายใจของตนเอง ซึ่งต้องใช้พลังงานไปเป็นจำนวนมากเพื่อหลอกตนเอง "บิดความจริง" และทำให้บุคคิกภาพไม่มีความยืดหยุ่น
อย่างที่กล่าวไปกลไกนี้เป็นกลไกการป้องกันตนเองของมนุษย์ ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไปอยู่แล้ว แต่ว่าในสังคมเรามักจะพบเห็นกลไกเหล่านี้ทำงานอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นท่านหรือผมเองก็เช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับกลไกการป้องกันตัวอื่น เช่น การโทษคนอื่น แต่กลไกนี้มีข้อดีอย่างไรบ้าง แน่นอนการที่ครู/ผู้ปกครองตีนักเรียนเพราะหวังดี เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะการตีเป็นการใช้ความรุนแรงและทำให้เกิดพฤติกรรมต่อต้าน และส่งผลต่อความเครียด ความทุกข์ และอาจส่งผลสุขภาพจิตของบุตรหรือนักเรียนเสียหาย แต่รูปแบบกลไกปากว่าตาขยิบที่คนพยายามทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนนั้นก็อาจจะเป็นข้อดีได้ ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมายในการทำ CSR (บางบริษัท) เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสังคม หรือ การทำให้ทานกับผู้อื่น เพื่อหวังจะได้บุญ อย่างไรก็ตามผมไม่ได้บอกว่าตัวอย่างที่กล่าวมาข้างตนเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ควร มันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ไม่ว่าเจตนาเบื้องหลังของการทำดีกับผู้อื่นหรือสังคมจะคืออะไรก็ตาม มันไม่ได้สำคัญ เพราะหากสิ่งที่แสดงออกมาผู้คนได้ประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพียงแต่เราจะต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง เพื่อทำให้ Ego เติบโตและสามารถดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริงได้มากที่สุด
อ้างอิง
กิติกร มีทรัพย์. 2554. พื้นฐานทฤษฎีจิตวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สมิต
ลักษณะปากว่าตาขยิบจึงเป็นการปรับตัวที่ผิด ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความกังวลวุ่นวายใจของตนเอง ซึ่งต้องใช้พลังงานไปเป็นจำนวนมากเพื่อหลอกตนเอง "บิดความจริง" และทำให้บุคคิกภาพไม่มีความยืดหยุ่น
ปากว่าตาขยิบเป็นเรื่องธรรมชาติของสังคม
อ้างอิง
กิติกร มีทรัพย์. 2554. พื้นฐานทฤษฎีจิตวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สมิต
คาลอส บุญสุภา. (2560). Id Ego และ Superego ทฤษฎีโครงสร้างบุคลิกภาพ. https://sircr.blogspot.com/2017/12/id-ego-superego-sigmund-freud.html
คาลอส บุญสุภา. (2560). กลไกการป้องกัน (Defense Mechanism). https://sircr.blogspot.com/2017/12/defense-mechanism.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น