สุดท้ายเราจะเข้าใจว่าตาที่บอดสีคือ
สายตาที่ผสานสีสันทุกอย่างเข้าด้วยกัน
มันงดงามมากกว่าสายตาที่ชิงชังและโง่เขลา
ในประวัติศาสตร์มีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนที่น่าเคารพ ยกย่อง เป็นเหมือนกับฮีโร่ และแสงสว่างกับใครหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือ เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) อดีตประธานาธิบดีผู้เปลี่ยนความขัดแย้งระหว่างคนผิวสีและคนขาวในประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นตัวแทนของเสรีภาพ ความเท่าเทียมที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของมนุษยชาติ ซึ่งในช่วงชีวิตของแมนเดลามีช่วงเวลาประวัติศาสตร์มากมาย แต่ช่วงชีวิตหนึ่งที่ได้นำไปสร้างเป็นภาพยนต์ชื่อ Invictus เป็นช่วงเวลาที่เขาออกมาจากคุกหลังจากถูกจองจำเป็นเวลา 27 ปี
เนลสัน แมนเดลาใช้กีฬารักบี้ ซึ่งเป็นกีฬาที่มีชื่อเสียงของชาวแอฟริกาใต้อย่างมาก มาเป็นจุดรวมพลังในการขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงความขัดแย้งระหว่างคนผิวสีและคนขาวได้อย่างประสบความสำเร็จ ซึ่งหนึ่งในเพลงแสนวิเศษที่ประกอบภาพยนต์เรื่องนี้ก็คือเพลง Colorblind ที่ขับร้องโดยวง Overtone เพลงนี้สะท้อนถึงจิตใจที่เข้มแข็งของแมนเดลาได้เป็นอย่างดี และความงดงามของมุมมองแห่งความรักที่จะชนะสงครามแห่งความเกลียดชังต่อการแบ่งแยกสีผิวอันดำเนินมาอย่าวยาวนาน
เนื้อเพลงและคำแปล
And it's not just a game
You can't throw me away
I put all I had on the line
And I give and you take
And I played the high stakes
I've won and I've lost
But, I'm fine
มันไม่ใช่เกมทั่วไป
คุณไม่สามารถโยนฉันไปมาได้
ฉันจะใช้ความพยายามทั้งหมดที่ฉันมี
และฉันจะให้ในขณะที่คุณได้รับ
และฉันจะเดิมพันสูง
ว่าฉันจะชนะและพ่ายแพ้
Hear me say I'll stand up for my friends
And I crash to the ground
And it's just my own sound
I drop in the blink of an eye
I'm colorblind
ได้ยินฉันไหม ฉันจะมุ่งมั่นต่อไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย
ได้ยินฉันไหม ฉันจะยืนร่วมกับเพื่อนของฉัน
และฉันจะล้มลงกับพื้น
และมันเป็นเพียงแค่เสียงของฉันเอง
ฉันร่วงหล่นภายในพริบตา
Won't stop my delight
You keep me and lock me away
And it's dark and it's bright
It's your colorful pride
That kept me here 9000 days
และคุณได้ต่อสู้บนหนทางที่มันจะไม่มีวันสิ้นสุด
คุณจะไม่มีทางหยุดแสงสว่างในตัวฉันได้
คุณอาจกีดกันและขังฉันไว้ได้
และแม้มันจะมืดมนต์และมันก็สว่างไสวด้วย
มันคือความภาคภูมิใจของคุณ
Hear me say I'll die for you my friend
There's a noise in the crowd
But it's just my own shout
I stumble I fall and I pray
ได้ยินฉันไหม ฉันจะมองไปที่ท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง
ได้ยินฉันไหม ฉันจะตายเพื่อพ่วงพ้องของฉัน
มีเสียงร้องตะโกนท่ามกลางผู้คนมากมาย
แต่มันเป็นเพียงแค่เสียงตะโกนของฉันเอง
In the end we'll lift our golden hands
Yes, we'll spark, you and I
We'll be colorblind
And these are the lives we gave
ได้ยินคุณพูดว่าดวงตาของคุณจะมองเห็นสีเขียวอีกครั้ง
ในท้ายที่สุดพวกเราจะชูมือที่เป็นทองคำของเรา
ใช่ เราจะเปล่งประกาย ทั้งคุณและฉัน
เรามาตาบอดสีไปด้วยกัน
Hear me say that I'll stand beside my friends
I won't stay on the floor
I will settle the score
I'll stumble I'll fall and I'll pray
ได้ยินฉันไหม ฉันจะมุ่งมั่นต่อไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย
ได้ยินฉันไหม ฉันจะยืนเคียงข้างกับเพื่อนของฉัน
ฉันจะไม่ยืนเฉยอยู่บนพื้น
ฉันจะไปทำคะแนน
Eye to eye we see a different fate
Yes we we've conquered the war
With love at the core
I stumble I fall, but I'll stay
Colorblind
ได้ยินฉันไหม มันถึงเพลงที่เราจะหยุดความเกลียดชังของเรา
สายตาประสานกันเราเห็นโชคชะตาที่แตกต่างกัน
ใช่เรา เราจะชนะสงคราม
ด้วยความรักที่หัวใจ
ฉันโดนเหยียบย้ำ ฉันล้ม แต่ฉันจะยืนหยัด
จากที่ผมกล่าวเบื้องต้นว่าเพลงนี้เกี่ยวข้องกับ เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) อดีตประธานาธิบดีที่ถูกจองจำเป็นเวลา 27 ปี หรือ 9000 วันดังในเนื้องเพลง "That kept me here 9000 days" จากการเรียกร้องความเท่าเทียมทางสีผิวในประเทศแอฟริกาใต้ แม้ก่อนหน้านั้นจะมีการต่อต้านที่ใช้ความรุนแรงบ้าง (ตาต่อตาฟันต่อฟัน) แต่หลังจากที่เขาออกจากคุกวิถีทางทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป แต่เราจะชนะสงครามนี้ด้วยคามรักจากหัวใจ "Yes we we've conquered the war with love at the core"
แม้แมนเดลาจะถูกจองจำ แต่ก็เพียงแค่ตัวไม่ใช่หัวใจเหมือนกับเนื้อเพลง "Hear me say I'll see the sky again" ได้ยินฉันไหม ฉันจะมองไปที่ท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง "There's a noise in the crowd but it's just my own shout" มีเสียงร้องตะโกนท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่มันเป็นเพียงแค่เสียงตะโกนของฉันเอง "I stumble I fall and I pray" ฉันโดนเหยี่ยบย้ำ ฉันล้มลง และฉันสวดภาวนา สุดท้ายจิตใจที่เข้มแข็ง และหัวใจที่อบอุ่นก็ได้รับชัยชนะ สุดท้ายประสบการณ์ ความรู้ จิตใจที่งดงามก็ได้ผสานกันส่งผลทำให้เขาตาบอดสี "I'm colorblind"
คำว่าตาบอดสี หรือ Colorblind ในเพลงนี้หมายถึง การที่เรามองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างขาวและดำ ทุกคนย่อมมีความแตกต่างซึ่งกันและกัน ผิวขาวหรือผิวดำก็เช่นเดียวกัน มันไม่ใช่ว่าเราไม่ใช่มนุษย์เหมือนกัน เช่นเดียวกับคนที่ต่างอายุ ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม เพราะแม้เราจะแตกต่างกัน แต่เราก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน และสุดท้ายเราจะเข้าใจว่าตาที่บอดสีคือสายตาที่ผสานสีสันทุกอย่างเข้าด้วยกัน
มันงดงามมากกว่าสายตาที่ชิงชังและโง่เขลา
บทเพลงนี้ไม่ใช่เพียงการอธิบายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นบทเพลงที่ให้พลังกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างมาก ทั้งความขัดแย้งบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งทวีคูณความเกลียดชังมากขึ้นไปเรื่อย ๆ อาจจถึงเวลาแล้วที่ฝ่ายที่มีอำนาจในสังคมจะหยุดเกลียดชัง "Hear me say it's time we stopped our hate" เพราะหากเราพิจารณากันดี ๆ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แม้จะมีหน้าที่ บริบท โชคชะตาที่แตกต่างกันดังในเนื้อเพลง "Eye to eye we see a different fate" หากเราอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจซึ่งกันและกันได้ ด้วยสายตาที่ได้ผสานนำเอาความแตกต่างมารวมกัน มันจะเป็นชีวิตใหม่ที่เปร่งประกาย เหมือนกับเนื้อเพลง "Yes, we'll spark, you and I, We'll be colorblind and these are the lives we gave)
นอกจากนั้นบทเพลงนี้ยังให้พลังใจกับการเผชิญหน้าต่อปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างดี เพราะทุกอย่างบนโลกใบนี้เต็มไปด้วยแรงกดดันที่คอยเหยี่ยบย้ำเรา ทำให้เราล้มลง แต่เราจะต้องยืนหยัดให้ได้ "I stumble I fall, but I'll stay" และมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับชีวิตด้วยความเข้าใจ พร้อมกับมุ่งมั่นต่อไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย "Hear me say I'll rise up 'til the end" เพราะต่อให้โลกในปัจจุบัน หรือจิตใจของเรามันจะย่ำแย่แค่ไหนก็ตาม แต่เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะแม้เราจะล้มลงกับพื้น อยู่ในความมืดมิดที่มีเพียงแค่เสียงของตัวเองเหมือนกับเนื้อเพลง "And I crash to the ground and it's just my own sound"
และไม่ว่าเราจะชนะหรือแพ้ หรือโดนเหยียบย้ำ
ต่อให้ล้มลงกับพื้น แต่เราจะต้องยืนหยัดอีกครั้งหนึ่งให้ได้
"I stumble I fall, but I'll stay"
สามารถอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมจากลิ้ง สารบัญ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น