"ผมจะทำในสิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจเป็นสิ่งที่อยู่นอกกรอบ
โดยประสานเชื่อมโยงกับทั้งโลกและมุมมองที่ถูกลืมไป
แม้เราจะเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ก็ตาม"
คนเรามักจะมีคำถามเกี่ยวกับกับความหมายของชีวิตอยู่เสมอ ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร บ้างก็ว่าเกิดมาเพื่อมีความสุข บ้างก็มีเหตุผลอื่น ๆ มากมาย แต่สิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ทุกคนทำก็คือ การปฏิบัติตัวตามค่านิยมของสังคม เหตุผลที่คนเลือกทำแบบนั้นเพราะมันเป็นเรื่องง่าย และด้วยสัญชาตญาณมนุษย์ที่อยู่กันเป็นสังคม ที่จะต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากลำบากและท้าทายสำหนับใครก็ตามที่จะแตกต่างจากวัฒนธรรมหรือค่านิยมของสังคม
แดน เรย์โนลส์ (Dan Reynolds) นักร้องนำของวง Imagine Dragons เป็นหนึ่งในคนที่แหกแทบจะทุกขนบประเพณี เขาเกิดและเติมโตในครอบครัวที่ศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายมอร์มอน (Mormon) ในย่านที่ผู้คนล้วนเป็นมอร์มอน และไปโบสถ์อย่างสม่ำเสมอ แต่แดนไม่ได้เติบโตขึ้นโดยดำเนินชีวิตไปในทางนั้นเลย เขาเชื่อในเสรี และตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว โดยเฉพาะการที่เขาสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+)
ด้วยเหตุผลนั้นทำให้ผลงานหลาย ๆ ชิ้นของเขามีเนื้อหาที่สื่อถึงการต่อสู้ โดยเฉพาะเพลงนี้ชื่อ Whatever It Take ที่สื่อถึอการต่อสู้ พยายามไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เขาจะดำเนินชีวิตในทิศทางของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะ ไล่ฟาด ไล่ทุบ ไล่ควบ แต่เขาก็จะยืนหยัดและมีชีวิตต่อไปและขึ้นไปบนจุดสูงสุด เพลงนี้เป็นเพลงที่ให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญหน้าและต่อสู้กับความย่อยยับของสังคมที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า "ความปกติ" ได้อย่างงดงาม
เนื้อเพลงและคำแปล
Falling too fast to prepare for this
Tripping in the world could be dangerous
Everybody circling, it's vulturous
Negative, nepotist
Everybody waiting for the fall of man
Everybody praying for the end of times
Everybody hoping they could be the one
I was born to run, I was born for this
ร่วงหล่นอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งตัว
หากสะดุดล้มลงในโลกใบนี้ก็อาจเป็นอันตรายได้
ทุก ๆ คนต่างอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่ทำร้ายซึ่งกันและกัน
ทัศนคติแง่ลบ การเล่นพรรคเล่นพวก
ทุก ๆ คนต่างรอคอยมนุษย์ที่ไร้มลทิน
ทุก ๆ คนต่างสวดภาวนาถึงจุดจบของโลก
ทุก ๆ คนต่างหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะเป็นหนึ่งในนั้น
Run me like a racehorse
Pull me like a ripcord
Break me down and build me up
I wanna be the slip, slip
Word upon your lip, lip
Letter that you rip, rip
Break me down and build me up
หวด ฟาด
ไล่ฟาดฉันเหมือนกับม้าแข่ง
กระชากฉันให้เหมือนกับกระตุกล่มชูชีพ
ทำให้ฉันล้มลงและมันจะทำให้ฉันยืนขึ้นใหม่
ฉันอยากเป็นคนที่พูดโดยไม่ต้องคิด
เหมือนคำพูดของคุณที่ถ่มน้ำลายออกมา
จดหมายที่คุณฉีกทิ้ง
Cause I love the adrenaline in my veins
I do whatever it takes
Cause I love how it feels when I break the chains
Whatever it takes
Yeah, take me to the top I'm ready for
Whatever it takes
Cause I love the adrenaline in my veins
I do what it takes
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักในอะดรีนาลีนที่หลั่งอยู่ในกระแสเลือด
ฉันจะทำมันไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักความรู้สึกเมื่อฉันกระฉากโซ่ตรวนขาดกระจุย
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
พาฉันไปที่จุดสูงสุด ฉันพร้อมแล้ว
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักในอะดรีนาลีนที่หลั่งอยู่ในกระแสเลือด
Looking at my body feeling miserable
Always hanging on to the visual
I wanna be invisible
Looking at my years like a martyrdom
Everybody needs to be a part of 'em
Never be enough, I'm the prodigal son
I was born to run, I was born for this
มักจะมีความกลัวที่บีบให้ทำตามคนส่วนใหญ่
มองมาที่ตัวผมสัมผัสถึงความเจ็บปวด
มักจะมีมุมมองที่ชอบมองกันที่รูปลักษณ์
ฉันอยากจะล่องหนหายตัวไป
ย้อนดูปีที่ผ่านมาของตนเองแล้วมันชั่งทรมานนัก
ทุกคนต่างต้องการเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
ไม่มีวันเพียงพอ ฉันเป็นลูกนอกคอก
Run me like a racehorse
Pull me like a ripcord
Break me down and build me up
I wanna be the slip, slip
Word upon your lip, lip
Letter that you rip, rip
Break me down and build me up
หวด ฟาด
ไล่ฟาดฉันเหมือนกับม้าแข่ง
กระชากฉันให้เหมือนกับกระตุกล่มชูชีพ
ทำให้ฉันล้มลงและมันจะทำให้ฉันยืนขึ้นใหม่
ฉันอยากเป็นคนที่พูดโดยไม่ต้องคิด
เหมือนคำพูดของคุณที่ถ่มน้ำลายออกมา
จดหมายที่คุณฉีกทิ้ง
Cause I love the adrenaline in my veins
I do whatever it takes
Cause I love how it feels when I break the chains
Whatever it takes
Yeah, take me to the top I'm ready for
Whatever it takes
Cause I love the adrenaline in my veins
I do what it takes
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักในอะดรีนาลีนที่หลั่งอยู่ในกระแสเลือด
ฉันจะทำมันไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักความรู้สึกเมื่อฉันกระฉากโซ่ตรวนขาดกระจุย
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
พาฉันไปที่จุดสูงสุด ฉันพร้อมแล้ว
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักในอะดรีนาลีนที่หลั่งอยู่ในกระแสเลือด
Don't wanna be the parenthetical, hypothetical
Working onto something that I'm proud of, out of the box
An epoxy to the world and the vision we've lost
I'm an apostrophe
I'm just a symbol to remind you that there's more to see
I'm just a product of the system, a catastrophe
And yet a masterpiece, and yet I'm half-diseased
And when I am deceased
At least I go down to the grave and die happily
Leave the body and my soul to be a part of me
I do what it takes
พวกปากว่าตาขยิบที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ฉันไม่อยากเป็นพวกที่อยู่แต่ในกรอบที่ใช้เหตุใช้ผล
ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันรู้สึกภูมิใจเป็นสิ่งที่อยู่นอกกรอบ
โดยประสานเชื่อมโยงกับทั้งโลกและมุมมองที่ถูกลืมไป
ฉันจะเป็นจุดเล็ก ๆ
ฉันจะเป็นสัญลักษณ์ที่คอยย้ำเตือนให้คุณเห็นว่าโลกนี้มีอะไรมากกว่าที่เห็น
ฉันจะเป็นผลผลิตของระบบที่วิบัติ
และยังเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยังไม่สมบูรณ์
และเมื่อฉันตายจากไป
อย่างน้อยฉันก็ถูกฝังลงไปที่หลุมศพและตายอย่างมีความสุข
เหลือเพียงร่างกายและจิตวิญญาณไว้เป็นส่วนหนึ่งของฉัน
Cause I love the adrenaline in my veins
I do whatever it takes
Cause I love how it feels when I break the chains
Whatever it takes
Yeah, take me to the top I'm ready for
Whatever it takes
Cause I love the adrenaline in my veins
I do what it takes
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักในอะดรีนาลีนที่หลั่งอยู่ในกระแสเลือด
ฉันจะทำมันไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักความรู้สึกเมื่อฉันกระฉากโซ่ตรวนขาดกระจุย
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
พาฉันไปที่จุดสูงสุด ฉันพร้อมแล้ว
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เพราะฉันรักในอะดรีนาลีนที่หลั่งอยู่ในกระแสเลือด
เพลงนี้เป็นเพลงที่พูดถึงชีวิตของ แดน เรย์โนลส์ (Dan Reynolds) นักร้องนำของวง เป็นความรู้สึกและความคิดของเขาที่มีต่อโลกในปัจจุบัน และความพยายามที่เขาจะต่อสู้เพื่อคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง เป็นเนื้อหาที่อ่านหรือฟังแล้วได้กำลังใจมากขึ้น มีแรงกายแรงใจที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายต่อไปในโลกที่ทุกคนต่างดำเนินชีวิตตามกันเป็นวงจรอันไม่รู้จบ เหมือนในเนื้อเพลง "Everybody circling, it's vulturous" ทุก ๆ คนต่างอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่ทำร้ายซึ่งกันและกัน
นอกจากจะฟังแล้วฮึกเหิม ยังสะท้อนถึงความเป็นจริงในปัจจุบันนอกจากวงจรอุบาทว์ที่ได้กล่าวไว้แล้ว จากเนื้อเพลง "Negative, nepotist" ทัศนคติในแง่ลบ และการเล่นพรรคเล่นพวก "Everybody waiting for the fall of man" ทุก ๆ คนต่างรอคอยมนุษย์ที่ไร้มลทิน "Everybody praying for the end of times" ทุก ๆ คนต่างสวดภาวนาถึงจุดจบของโลก "Everybody hoping they could be the one" ทุก ๆ คนต่างหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะเป็นหนึ่งในนั้น สื่อถึงพฤติกรรมของคนส่วนมากรอบตัวเขาที่เชื่อมั่นและคาดหวังในศาสนา ซึ่งทั้งหมดนี้คือพฤติกรรมของคนส่วนมากบนโลกใบนี้
การนับถือหรือเคร่งในศาสนาไม่ใช่ปัญหา แม้จะเป็นวิถีที่คนส่วนมากดำรงไปตามวงจรไม่รู้จบ แต่แดนไม่ได้อยากจะบอกว่าพวกเขาโง่ หรือกำลังทำผิด เพียงแต่แดนเองที่เลือกจะแตกต่าง เช่นเดียวกับคนจำนวนหนึ่งที่รู้สึกแตกต่างเช่นกัน มันจึงเป็นความรู้สึกที่เหมือนโดนกระชากไปมา เหมือนกับเนื้อเพลง "Whip, whip, run me like a racehorse, pull me like a ripcord" หวด ฟาด ไล่ฟาดฉันเหมือนกับม้าแข่ง กระชากฉันให้เหมือนกับกระตุกล่มชูชีพ แต่ไม่ว่ามันจะทำให้เราล้มลง เจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ทำให้เรายืนขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย "Break me down and build me up" ทำให้ฉันล้มลงและมันจะทำให้ฉันยืนขึ้นใหม่
เมื่อเข้าท่อนฮุกเพลงนี้จะกระตุ้นให้เราฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น เหมือนถูกชีวิตกระทำจนเรารู้สึกมีพลังใจที่เพิ่มขึ้นมา เหมือนกับเนื้อเพลง "Cause I love the adrenaline in my veins" เพราะฉันรักในอะดรีนาลีนที่หลั่งอยู่ในกระแสเลือด และ "Cause I love how it feels when I break the chains" เพราะฉันรักความรู้สึกเมื่อฉันกระฉากโซ่ตรวนขาดกระจุย ความรู้สึกดังกล่าวเป็นความรู้สึกฮึกเหิมและมีพลังที่ได้ใช้ชีวิตอย่างแตกต่าง ต่อต้านค่านิยมหลักในสังคม ซึ่งเขายอมแลกไม่ว่าจะอะไรก็ตาม "I do whatever it takes"
เพลงนี้ยังได้พูดถึงคนส่วนมากที่อยู่ในกรอบเป็นจำพวก "Hypocritical, egotistical" พวกปากว่าตาขยิบที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และเขาไม่อยากเป็นพวกที่อยู่แต่ในกรอบที่ใช้เหตุใช้ผล "Don't wanna be the parenthetical, hypothetical" เขาอยากที่จะรู้สึกภูมิใจที่อยู่นอกกรอบและนำเสนอแนวคิด บทเพลง ที่โลกนี้เลือกที่จะลืมต่อไป เหมือนกับเนื้อเพลง "Working onto something that I'm proud of, out of the box, an epoxy to the world and the vision we've lost" ผมจะทำในสิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจเป็นสิ่งที่อยู่นอกกรอบ โดยประสานเชื่อมโยงกับทั้งโลกและมุมมองที่ถูกลืมไป
แม้เราจะเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ก็ตาม "I'm an apostrophe"
อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ว่าแดน เกิดและโตในครอบครัวที่ศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายมอร์มอน เขาสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) และเขายังเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เป็นนักร้องในขณะที่คนอื่นในครอบครัวประกอบอาชีพแพทย์หรือทนายกันหมด ทุกอย่างที่เขาเป็นจึงเป็นเหมือนกับคนนอกคอก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แม้ความรู้สึกแบบนี้มันจะทำให้เขาล้มลงบ้าง แต่เขาก็กลับขึ้นมาใหม่ และฉีกโซ่ตรวนที่สังคมสร้างเขาขึ้นมา เหมือนกับเนื้อเพลง I'm just a product of the system, a catastrophe ฉันจะเป็นผลผลิตของระบบที่วิบัติ เพราะสุดท้ายแล้วเราจะต้องมีวิถีชีวิตและเส้นทางที่เป็นของตัวเอง "เป็นเส้นทางที่แตกต่าง" ซึ่งบทเพลงนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่คอยย้ำเตือนให้คุณเห็นว่าโลกนี้มีอะไรมากกว่าที่เห็น
"I'm just a symbol to remind you that there's more to see"
ชีวิตของเราเป็นของเราเอง ไม่ใช่ของคนส่วนมากในสังคม
จงเป็นในสิ่งที่เราภูมิใจ ไม่ว่าจะอยากไรก็ตาม
สามารถอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมจากลิ้ง สารบัญ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น