เราไม่สามารถเอาความทุกข์ของแต่ละคน
มาเปรียบเทียบได้ เพราะมันมีรายละเอียดลึกซึ้ง
หลายอย่างที่เราแทบจะไม่มีวันเข้าใจ
ปัญหาเลวร้ายมากมายที่ขึ้นเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เกิดขึ้นมาจากน้ำมือของคนด้วยกันเอง ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พวกเราต่างทำร้ายกันเองอย่างน่าสมเพช หลายครั้งเรามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่เราแทบจะไม่เคยนึกถึงก็คือจิตใจก็ผู้ถูกกระทำที่บอบช้ำเกินกว่าจะดึงกลับคืนมาได้ เวลาที่จิตใจบุบสลายมันไม่สามารถกลับคืนมาได้เหมือนเดิมอีกครั้ง แม้จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ก็ตาม แต่ความทรงจำที่บอบช้ำจะหลอกหลอนเราต่อไปเรื่อย ๆ และคนทั่วไปจะไม่มีทางเข้าใจหากไม่ได้เผชิญเรื่องราวเหล่านั้นกับตัวของพวกเขาเอง
เพลง Till It Happens To You แต่งและขับร้องโดย สเตฟานี เจอร์มาน็อตตา (Stefani Germanotta) หรือรู้จักกันในนาม Lady Gaga เพลงนี้เธอแต่งเพื่อบุคคลที่ถูกทำร้ายและถูกรังแก ไม่ว่าจะเป็น LGBTQ+ หรือเหยื่อที่โดนกลั่นแกล้ง หรือการกระทำอื่น ๆ ที่เลวร้าย เพราะความเจ็บปวดจากสิ่งที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่การทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ เธอจึงเป็นศิลปินที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก เพราะเธอเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่โดนกระทำ เข้าใจว่าหลายครั้งความเจ็บปวดเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะยากมากที่เราจะสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง หรืออาจจะทำไม่ได้เลยก็ได้
เนื้อเพลงและคำแปล
You tell me it gets better, it gets better in time
You say I'll pull myself together, pull it together
You'll be fine
Tell me what the hell do you know
What do you know
Tell me how the hell could you know
How could you know
คุณบอกฉันว่ามัจะต้องดีขึ้น มันจะต้องดีขึ้นในไม่ช้า
คุณบอกให้ฉันตั้งสติ ตั้งสติให้ดี
คุณจะต้องไม่เป็นอะไร
บอกฉันสิว่าคุณรู้อะไรบ้างวะ
คุณรู้อะไรบ้าง
บอกฉันสิว่าคุณรู้อะไรบ้างวะ
How it feels
How it feels
Til it happens to you, you won't know
It won't be real
No it won't be real
Won't know how it feels
จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่รู้หรอก
ว่ามันรู้สึกอย่างไร
ว่ามันรู้สึกอย่างไร
จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่รู้หรอก
มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก
ไม่ มันไม่มีทางเป็นจริง
Hold your head up and be strong
Cause when you fall, you gotta get up
You gotta get up and move on
Tell me, how the hell could you talk
How could you talk?
Cause until you walk where I walk
It's just all talk
คุณบอกฉันว่าเงยหน้าขึ้นมา
เงยหน้าขึ้นมาและเข้มแข็งเอาไว้
เพราะเมื่อคุณล้ม คุณจะต้องลุกขึ้นมาให้ได้
คุณต้องลุกขึ้นมาและก้าวเดินต่อไป
บอกฉันที คุณพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร
คุณพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร
เพราะเมื่อคุณมาเจอในแบบที่ฉันเผชิญ
How it feels
How it feels
Til it happens to you, you won't know
It won't be real (how could you know?)
No it won't be real (how could you know?)
Won't know how it feels
จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่รู้หรอก
ว่ามันรู้สึกอย่างไร
ว่ามันรู้สึกอย่างไร
จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่รู้หรอก
มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก (คุณจะรู้ได้อย่างไร)
ไม่ มันไม่มีทางเป็นจริง (คุณจะรู้ได้อย่างไร)
Til you're at the end, the end of your rope
Til you're standing in my shoes, I don't wanna hear nothing from you
From you, from you, cause you don't know
จนกว่าโลกของคุณจะลุกไหม้และแตกสลาย
จนกว่าคุณจะไปจนสุดทาง สุดปลายเชือกของคุณ
จนกว่าคุณจะยืนในจุดเดียวกับฉัน ฉันไม่ต้องการได้ยินอะไรจากคุณทั้งนั้น
How it feels
How it feels
How it feels
Til it happens to you, you won't know
It won't be real (how could you know?)
No it won't be real (how could you know?)
Won't know how it feels
จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่รู้หรอก
ว่ามันรู้สึกอย่างไร
ว่ามันรู้สึกอย่างไร
ว่ามันรู้สึกอย่างไร
จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่รู้หรอก
มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก (คุณจะรู้ได้อย่างไร)
ไม่ มันไม่มีทางเป็นจริง (คุณจะรู้ได้อย่างไร)
Happens to you
Happens to you, happens to you
Happens to you (how could you know?)
Til it happens to you, you won't know how I feel
จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ
เกิดขึ้นกับคุณ
เกิดขึ้นกับคุณ เกิดขึ้นกับคุณ
เกิดขึ้นกับคุณ (คุณจะรู้ได้อย่างไร)
อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่าตลอดประวัติศาสตร์เรื่องเลวร้ายมากมายที่เกิดกับมนุษย์ ซึ่งจำนวนมากมาจากการกระทำของพวกเราด้วยกันเอง ที่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการดูถูก เหยียดหยาม ด่าทอ รังแก กลั่นแกล้ง ทุบตี กระทำชำเรา ฯลฯ ความเจ็บปวดของผู้ที่เคยถูกทำร้ายจะไม่มีวันหายไปไหน มันจะถูกเก็บลงไปในส่วนลึกของจิตใจ แล้วจะหล่อหลอมกลายเป็นกระบวนการคิด เป็นการกระทำ และเป็นตัวตน ซึ่งหลายครั้งมันทำให้การดำรงชีวิตของเราเป็นเรื่องยาก "Til it happens to you, you won't know how I feel" จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าฉันรู้สึกอย่างไร
เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่ดีสำหรับให้คนเกิดการเรียนรู้ แน่นอนว่ามีคนบางส่วนที่รังแกหรือทำร้ายใครสักคน แต่มันก็มีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจกับความรู้สึกของผู้ประสบกับการโดนทำร้าย มันทำให้เขาไม่สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนกับคนทั่วไป แต่ด้วยความไม่รู้สิ่งที่คนไม่เข้าใจเหล่านั้นทำก็คือ "การซ้ำเติม" โดยที่เขาก็ไม่ได้เจตนา พวกเขาเพียงแต่คิดว่า เราทุกคนต่างก็เผชิญกับเรื่องแย่ ๆ แล้วเวลามันจะเยียวยาเอง "You tell me it gets better, it gets better in time, you say I'll pull myself together, pull it together, you'll be fine " คุณบอกฉันว่ามันจะต้องดีขึ้น มันจะต้องดีขึ้นในไม่ช้า คุณบอกให้ฉันตั้งสติ ตั้งสติให้ดี คุณจะต้องไม่เป็นอะไร
เนื้อเพลงดังกล่าวจึงเป็นความรู้ที่สอนเราได้อย่างดี สำหรับคนที่คิดว่าอะไร ๆ มันจะต้องดีขึ้นเสมอ เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง มันไม่ได้เป็นแบบนั้น สิ่งที่เราควรเรียนรู้ก็คือแม้หลายคนที่โดนทำร้าย สักวันหนึ่งพวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ "แต่มันจะไม่มีทางหายไป" เวลาไม่มีทางเยียวยาได้โดยตรง แต่เป็นตัวของพวกเขาเหล่านั้นเองที่เยียวยาตัวเองโดยมีเวลาเป็นเส้นขนาดทั้งนั้น กล่าวคือ หากเราย้อนเวลาไปยังอนาคต เวลาอาจจะหมุนไป แต่ความคิดของเราก็ยังอยูที่เดิม ความเจ็บปวดของเราก็ยังอยู่ที่เดิมเช่นกัน มันจึงเป็นตัวเราเองนั้นแหละที่จะชินชากับเรื่องราวต่าง ๆ ขนานไปกับเส้นเวลา
"Tell me what the hell do you know" บอกฉันสิว่าคุณรู้อะไรบ้างวะ
เราไม่สามารถเอาความทุกข์ของแต่ละคนมาเปรียบเทียบได้ เพราะมันมีรายละเอียดลึกซึ้งหลายอย่างที่เราแทบจะไม่มีวันเข้าใจ ถ้าเราไม่ได้เผชิญเอง "Til it happens to you, you won't know" จนกว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่รู้หรอก ยกตัวอย่างเช่น คนที่เป็น LGBTQ+ แล้วโดยล้อเลียน มันจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เพราะพวกเขาต้องอยู่บนโลกที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเป็นน้อยมาก สายตาที่คนอื่นมอง การกระทำของคนอื่นหรือของครอบครัว มันทำให้เขามีความเปราะบางอยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว หรือผู้หญิงที่โดนกระทำชำเรา นอกจากจะเจ็บปวดแล้วเธอยังถูกช่วงชิงศักดิ์ศรี และความเจ็บปวดนั้นยังกลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายหลอกหลอนตลอดไปอีกด้วย
มันจึงเป็นเรื่องดีที่สุดที่คนไม่รู้ ไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์เหมือนที่ผู้ประสบเคราะห์กรรมพบเจอควรจะเงียบเอาไว้ หรือเพียงแค่อยู่เคียงข้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพราะ "Til your world burns and crashes, til you're at the end, the end of your rope, til you're standing in my shoes, I don't wanna hear nothing from you, cause you don't know" จนกว่าโลกของคุณจะลุกไหม้และแตกสลาย จนกว่าคุณจะไปจนสุดทาง สุดปลายเชือกของคุณ จนกว่าคุณจะยืนในจุดเดียวกับฉัน ฉันไม่ต้องการได้ยินอะไรจากคุณทั้งนั้น เพราะคุณไม่มีทางเข้าใจ เรื่องสุดท้ายที่เราจะได้เรียนรู้จากบทเพลงนี้ก็คือ การไม่เป็นส่วนหนึ่งของการทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน
โดยการสำรวจสิ่งที่เราพูดหรือแสดงออกว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร
กล่าวคือเราจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันให้มากกว่านี้
โลกนี้จึงจะเป็นโลกที่น่าอยู่มากขึ้นกว่าที่เป็น
สามารถอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมจากลิ้ง สารบัญ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น