"ฉันจะไม่ร้องไห้ออกมาและฉันจะไม่ยอมสลายหายไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาพยายามที่จะหยุดฉัน"
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ "การสื่อสาร" เป็นอำนาจที่สำคัญอย่างมากของมนุษย์ แต่ด้วยอานุภาพของมัน ก็ทำให้มนุษย์ด้วยกันเองต่างยำเกรง หวาดกลัว ว่าตนเองที่กำลังมีสถานะเหนือผู้อื่นอยู่จะสูญเสียมันไป พวกเขาจึงพยายามที่จะปิดปากผู้คน ทำให้ผู้คนได้พูดสิ่งที่ตัวเองคิดได้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมือง สังคม การศึกษา เศรษฐกิจ และสิทธิเสรีภาพ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครสามารถห้ามการเปล่งเสียงได้เลย เพราะไม่จะอย่างไรก็ตามธรรมชาติของเสียงไม่มีวันเงียบได้ตลอดไป
Speechless คือเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง Aladin การ์ตูนในวัยเด็กที่ได้ถูกนำกลับมาสร้างใหม่ในฉบับเวอร์ชั่นคนแสดง (Life Action) เมื่อปี ค.ศ. 2019 เพลงนี้แต่งโดย เบนจ์ พาเส็ก (Benj Pasek) และ จัสติน พอล (Justin Paul) คู่หูนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน ขับร้องโดยเจ้าหญิงจัสมินนางเอกของเรื่องที่แสดงโดย เนโอมี สกอตต์ (Naomi Scott) ซึ่งเป็นผู้ร้องเพลงนี้เอง เพลงนี้เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าหญิงจัสมินที่เหนื่อยล้าจากการถูกจาฟาร์หรือสุลต่านปิดปาก และเธอต้องการที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อที่เสียงของเธอจะไม่เงียบอีกต่อไป
เนื้อเพลงและคำแปล
Here comes a wave meant to wash me away
A tide that is taking me under
Swallowing sand
Left with nothing to say
My voice drowned out in the thunder
คลื่นลูกหนึ่งซัดเข้ามาหมายที่จะซัดฉันให้หายไป
ฉันถูดพัดพาไปใต้กระแสน้ำนั้น
ถูกทับถมไปด้วยเม็ดทราย
จนไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้เลย
And I won't start to crumble
Whenever they try
To shut me or cut me down
แต่ฉันจะไม่ร้องไห้ออกมา
และฉันจะไม่ยอมสลายหายไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาพยายาม
You can't keep me quiet
Won't tremble when you try it
All I know is I won't go speechless
ฉันจะไม่ยอมเงียบ
คุณไม่สามารถปิดปากฉันได้
ฉันจะไม่สั่นคลอนเมื่อคุณพยายามจะหยุดฉัน
When they try to suffocate me
Don't you underestimate me
'Cause I know that I won't go speechless
เพราะฉันจะหายใจต่อไป
แม้พวกเขาพยายามที่จะบีบคอฉัน
อย่าประเมินฉันต่ำเกินไป
Every rule, every word
Centuries old and unbending
“Stay in your place”
“Better seen and not heard”
But now that story is ending
จาลึกอย่าถาวรเอาไว้
ทุก ๆ กฎ ทุก ๆ คำกล่าว
ที่อยู่มานานหลายศตวรรษ และไม่เคยเปลี่ยนไป
"จงอยู่ในที่ของตัวเอง"
"ไม่ต้องมอง และไม่ต้องได้ยิน"
And I won't start to crumble
Whenever they try
To shut me or cut me down
แต่ฉันจะไม่ร้องไห้ออกมา
และฉันจะไม่ยอมสลายหายไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาพยายาม
You can't keep me quiet
Won't tremble when you try it
All I know is I won't go speechless
ฉันจะไม่ยอมเงียบ
คุณไม่สามารถปิดปากฉันได้
ฉันจะไม่สั่นคลอนเมื่อคุณพยายามจะหยุดฉัน
I cannot be broken
No, I won’t live unspoken
‘Cause I know that I won’t go speechless
ปล่อยให้พายุถาโถมเข้ามา
ฉันจะไม่มีทางแตกสลาย
ไม่ ฉันจะไม่ยอมมีชีวิตโดยเงียบเฉย
I won’t just lay me down and die
I will take these broken wings
And watch me burn across the sky
Hear the echo saying…
ลองมาจับฉันไว้ในกรงนี้สิ
ฉันจะไม่ยอมศิโรราบและตายอย่างแน่นอน
ฉันจะบินไปกับปีกที่ชำรุด
และจงเฝ้ามองดูฉันถูกแผดเผาท่ามกลางท้องฟ้าเสียดีกว่า
You can't keep me quiet
Won't tremble when you try it
All I know is I won't go speechless
Speechless
ฉันจะไม่ยอมเงียบ
คุณไม่สามารถปิดปากฉันได้
ฉันจะไม่สั่นคลอนเมื่อคุณพยายามจะหยุดฉัน
When they try to suffocate me
Don't you underestimate me
'Cause I know that I won't go speechless
Speechless
เพราะฉันจะหายใจต่อไป
แม้พวกเขาพยายามที่จะบีบคอฉัน
อย่าประเมินฉันต่ำเกินไป
อย่างที่กล่าวไว้ในช่วงเกริ่นเพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนต์ Aladin ในเวอร์ชั่นคนแสดง (Life Action) เป็นช่วงเวลาที่จัสมินรู้สึกเหนื่อยล้าจากการถูกจาฟาร์หรือสุลต่านปิดปาก และเธอต้องการที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อที่เสียงของเธอจะไม่เงียบอีกต่อไป นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์แล้ว เนื้อเพลงนี้ยังสะท้อนถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสิทธิสตรีในบางประเทศที่ถูกกดขี่ หรือสิทธิเสรีภาพของประชาชนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศไทยที่ถูกสั่งให้เงียบ จนกระทั่งประชาชนหลายคนคิดว่าการที่เงียบคือวิธีที่ดีที่สุด เพราะมันปลอดภัย สงบ สุดท้ายความเงียบก็ได้กลายเป็นค่านิยมของสังคมอย่างน่าเศร้า
เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่แสดงถึงการดิ้นรนที่จะปลดโซ่ตรวนค่านิยมของสังคม โดยการเปล่งเสียงออกมาท่ามกลางความกดดันที่เกิดขึ้น "Here comes a wave meant to wash me away, a tide that is taking me under, swallowing sand, Left with nothing to say, my voice drowned out in the thunder" คลื่นลูกหนึ่งซัดเข้ามาหมายที่จะซัดฉันให้หายไปฉันถูดพัดพาไปใต้กระแสน้ำนั้น ถูกทับถมไปด้วยเม็ดทราย จนไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้เลย เสียงของฉันได้หายไปกับพายุลูกนั้น จากเนื้อเพลงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวัง เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาบีบคอเราเอาไว้ เมื่อเราไหร่ที่เราพยายามจะเปล่งเสียงออกมา คอเราก็จะโดนบีบจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
อย่างไรก็ตามชีวิตจะมีความหมายได้หากเรามีตัวตน ไม่ใช่การหายใจทิ้งไปวัน ๆ แต่มันก็คือการประกาศถึงคุณค่าในตัวเอง ซึ่งจะต้องแสดงความเข้มแข็งและความกล้าหาญออกมา "But I won't cry and I won't start to crumble, whenever they try to shut me or cut me down" แต่ฉันจะไม่ร้องไห้ออกมาและฉันจะไม่ยอมสลายหายไป เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาพยายามที่จะหยุดฉันหรือผลักให้ฉันล้มลง นอกจากประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของมนุษย์แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เป็นนักสู้ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน เป็นความกล้าหาญที่จะแสดงออกทางด้านความคิด
และนั่นทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นเสมอมา
แม้การแสดงความกล้าหาญจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ความเศร้า แต่ถ้าหากเราสามารถก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดเหล่านั้นไปได้ เราจะมีคุณค่าในตัวเองอย่างแท้จริง "Try to lock me in this cage, I won’t just lay me down and die, I will take these broken wings and watch me burn across the sky" ลองมาจับฉันไว้ในกรงนี้สิ ฉันจะไม่ยอมศิโรราบและตายอย่างแน่นอน ฉันจะบินไปกับปีกที่ชำรุดและจงเฝ้ามองดูฉันถูกแผดเผาท่ามกลางท้องฟ้าเสียดีกว่า หลายคนยอมตายเสียดีกว่าจะยอมอยู่ในสถานะที่ผิดปกติ สถานะที่ถูกทำให้เงียบ ไม่ว่าคำกล่าวที่เราต้องการจะเปล่งจะเป็นอะไรก็ตาม
เพราะจริง ๆ แล้ว "You can't keep me quiet, won't tremble when you try it, all I know is I won't go speechless" คุณไม่สามารถปิดปากฉันได้ ฉันจะไม่สั่นคลอนเมื่อคุณพยายามจะหยุดฉัน ทั้งหมดที่ฉันรู้คือฉันจะไม่ยอมเงียบเสียง การที่เราจะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างได้เราจะต้องลงมือทำ ต้องพูดถึงมัน จะต้องเปล่งเสียงออกมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง "Cause I'll breathe when they try to suffocate me, don't you underestimate me" เพราะฉันจะหายใจต่อไป แม้พวกเขาพยายามที่จะบีบคอฉัน อย่าประเมินฉันต่ำเกินไป
มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพ มีคุณค่าอยู่ภายในตนเอง แต่สังคมบีบให้พวกเขาเงียบ พยายามห้ามพวกเขาไม่ให้ฉายแสงในตัวเองออกมา "Every rule, every word, centuries old and unbending, “stay in your place”, “better seen and not heard”, but now that story is ending" ทุก ๆ กฎ ทุก ๆ คำกล่าวที่อยู่มานานหลายศตวรรษ และไม่เคยเปลี่ยนไป "จงอยู่ในที่ของตัวเอง" "ไม่ต้องมอง และไม่ต้องได้ยิน" แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันจบแล้ว ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่าสุดท้ายไม่ว่ามือที่บีบคอจะใหญ่สักเพียงใด ก็ไม่มีทางหยุดเสรีภาพในการแสดงออก
และการเปล่งเสียงที่สะท้อนคุณค่า
ของความเป็นมนุษย์ออกมาได้
สามารถอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมจากลิ้ง สารบัญ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น