เราควรเตรียมชุดปฐมพยาบาลทางสุขภาพจิตของตัวเองไว้ให้พร้อมเสมอ

สิ่งสำคัญคือเราจะต้องสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกว่าสุขภาพจิตกำลังจะเสื่อมถอย

            ผมเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านก็คิดเหมือนผมเช่นกันว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคที่เราจำเป็นต้องดูแลสุขภาพจิตตัวเองอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าะเป็นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่แย่ลงไปทุกวัน ความขัดแย้งระหว่างรุ่นที่มีความคิดเห็นและการมองโลกแตกต่างกัน รวมไปถึงสภาพสังคม การทำงาน การเรียนที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน ไม่นับการเปลี่ยนแแปลงของโลกที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงวิถีการดำเนินชีวิต ส่งผลให้กระบวนการเรียนและการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก

            ผมสรุปปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็น ความขัดแย้งในสังคม เศรษฐกิจที่แย่ลง การเมืองที่ฉุดรั้งการพัฒนาของประเทศ และการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี 4 สิ่งนี้คือปัญหาที่กำลังกดดันสภาพทางสุขภาพจิตของผู้คนในสังคมให้แย่ลงไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้เครือข่ายสังคมอย่าง Facebook Twitter และ Instagram เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ผู้คนจำนวนมากต่างเปรียบเทียบเรื่องราวชีวิตของตัวเองกับบุคคลอื่น ๆ ในเครือข่ายสังคม

            มีการศึกษามากมายที่พบว่า ภาพลักษณ์บนโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจในเรือนร่างของตนในกลุ่มผู้หญิง และไม่เพียงแค่เรือนร่างเท่านั้น แต่การเปรียบเทียบที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบมากมายกว่านั้นอีกด้วย นอกจากนั้นปัญหาความเครียดในที่ทำงานและในโรงเรียนก็สงผลกระทบต่อตัวบุคคลอย่างมาก นักเรียนหลายคนต้องเผชิญกับกฎระเบียบในโรงเรียนที่สวนทางกับวิถีชีวิตตามสัญชาตญาณของพวกเขา ในขณะที่คนทำงานต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมเป็นพิษในองค์กร ด้วยสภาพการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมา การมีชุดปฐมพยาบาลทางสุขภาพจิตของตัวเองไว้ให้พร้อมเสมอจึงสำคัญอย่างยิ่ง

การปฐมพยาบาลทางสุขภาพจิตสำคัญอย่างไร

            ผู้คนมักจะพูดถึงคำว่าวุฒิภาวะ หรือภูมิต้านทาน โดยใช้คำทั้งสองนี้กับสุขภาพจิต ซึ่งผมมองว่าเป็นแนวคิดที่ออกจะเพ้อฝันไปหน่อย เพราะปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน แม้ว่าผู้คนจะเผชิญกับเหตุการณ์แบบเดียวกัน แต่ความเจ็บปวดทางจิตที่ได้รับจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม การเลี้ยงดู ประสบกาณณ์ชีวิตในอดีตและปัจจุบัน อารมณ์ในขณะนั้น สภาพอากาศ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ระดับการเห็นคุณค่าในตนเอง ความมั่นใจในตัวเอง ฯลฯ

            จะเห็นปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเรามีจำนวนมากไม่ต่างอะไรกับดวงดาวบนท้องฟ้า ดังนั้นการจะสร้างภูมิต้านทานเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตหรือความทุกข์จึงเป็นเรื่องยากไปจนถึงเป็นไปไม่ได้ ลองคิดดูนะครับแม้แต่คนที่มีความรู้ทางด้านจิตวิทยายังเผชิญกับปัญหาที่แก้ไม่ตกเลย บางคนเป็นโรคซึมเศร้าเสียด้วยซ้ำ ตัวผมเองก็ต้องเจอกับปัญหาที่ทำให้เครียดและวิตกกังวลแทบทุกวัน บางวันก็มากเสียจนเบื่อชีวิตและโชคชะตาไปเลย ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนก็เป็นเช่นเดียวกันกับผม

แม้ว่าผู้คนจะเผชิญกับเหตุการณ์แบบเดียวกัน แต่ความเจ็บปวดทางจิตที่ได้รับจะแตกต่างกัน

            สุขภาพจิตและความทุกข์จึงเป็นสภาวะปกติของมนุษย์ ใคร ๆ ก็ทุกข์ได้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือเราจะต้องสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกว่าสุขภาพจิตกำลังจะเสื่อมถอย เราจะต้องดำเนินชีวิตในทิศทางบวกมากกว่าการปฏิเสธความทุกข์ และบอกว่าความเศร้าเป็นเพียงแค่กระแสเท่านั้น การปฏิเสธและจินตนาการว่าตัวเองเข้มแข็ง และกล่าวหาว่าคนอื่นอ่อนแอ ดีแต่จะทำให้ความทุกข์ยืนยาวขึ้นและสร้างภาวะความเจ็บป่วยทั้งทางจิตและทางกายโดยไม่รู้ตัว เพราะสุขภาพจิตสามารถเสื่อมถอยอย่างแอบแฝงและค่อยเป็นค่อยไป เช่นเดียวกับสุขภาพกาย

            ในหนังสือ A Toolkit for Modern Life ผู้เขียน เอ็มมา เฮ็ปเบิร์น (Emma Hepburn) ได้อธิบายถึงอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้คน และผู้คนหลายคนพยายามจะปฏิเสธความจริง เธออธิบายว่า "อาจมีอุปสรรคหลายประการในการแสวงหาความช่วยเหลือ คุณอาจกังวลว่าจะถูกไล่ออกหรือถูกเลิกจ้าง อาจโดนมองว่าแปลกแยกหรือเป็นบ้า เมื่อเห็นคนจำนวนมากที่ประสบกับปัญหาสุขภาพจิต ฉันให้ความมั่นใจกับคุณอีกครั้งได้ว่า ยังมีอีกหลายคนที่มีประสบการณ์เช่นเดียวกับคุณ เพราะเรามีอะไรที่เหมือนกันมากจนเกินกว่าที่จะแยกเราออกจากกันได้ รวมถึงประสบการณ์ความทุกข์ด้วย"

            "คุณอาจคิดว่าคุณไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ และมองว่าการเปิดใจให้คนอื่นนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับหมอหรือพยาบาลที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน อย่างไรก็ตาม มีการรักษาโดยอิงจากหลักฐานมากมายเกิดขึ้นเพื่อปัญหาสุขภาพจิต ในการแสวงหาความช่วยเหลือเรื่องนี้ คุณควรให้เวลากับการรักษาอย่างจริงจังพอ ๆ กับตอนที่มีปัญหาสุขภาพทางกาย" เธอยังได้นำเสนอเครื่องมือที่จะช่วยระบุว่าการมีสุขภาพจิตที่ดีมีความหมายต่อเราอย่างไร โดยเราจะต้องตอบคำถาม 4 ข้อดังต่อไปนี้

            1) การมีสุขภาพจิตที่แข็งแรงสำหรับฉันหมายถึง (ค้นหาความหมายของการมีสุขภาพจิตที่ดี)

            2) สัญญาณอะไรที่บอกว่าสุขภาพจิตของฉันกำลังย่ำแย่ (พฤติกรรมอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกแย่)

            3) อะไรจะช่วยฉันตอนที่เกิดเรื่องนี้ (เครื่องมือหรือวิธีการใดบ้างที่ใช้แล้วทำให้ลดความทุกข์ลงได้)

            4) สัญญาณที่บอกว่าฉันอาจต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม (หากใช้ทุกวิธีเท่าที่คิดออกแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น)

ชุดปฐมพยาบาลทางสุขภาพจิต

            หลายบ้านทั่วโลกต่างก็มีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นเอาไว้ทั้งนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น แต่เอ็มมา เฮ็ปเบิร์น แนะนำว่าพวกเราทุกคนควรมีชุดปฐมพยาบาลสุขภาพจิตให้พร้อมเสมอ โดยเราสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้ เพื่อสังเกตว่าสุขภาพจิตเริ่มเสื่อมลงหรือไม่ การเตรียมการไว้ล่วงหน้าจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามาก เนื่องจากลักษณะหนึ่งของความทุกข์ก็คือจิตใจจะรู้สึกสับสน เราแทบจะไม่สามารถรู้ได้ว่าจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน การมีอุปกรณ์ในมือจะช่วยลดพลังงานและความพยายามที่เราต้องทุ่มไปในการวางแผนว่าจะลงมือทำอะไรต่อไป

            ชุดปฐมพยาบาลของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญก็คือเราจะต้องสังเกตตัวเองบ่อย ๆ ว่าเมื่อเราเกิดความทุกข์ขึ้นมา อะไรที่ช่วยบรรเทาความรู้สึกอันปวดร้าวนั้นได้บ้าง บางคนอาจจะเป็นบทเพลง หนังสือ ภาพยนตร์ บางคนอาจจะฟังเพลงเศร้า เพลงบรรเลง บางคนอาจจะออกกำลังกาย กล่าวคือ สิ่ง ๆ หนึ่งที่ใช้ได้ผลกับอีกคนหนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับอีกคนหนึ่ง หากผมแนะนำว่าควรจะใส่อะไรลงในชุดปฐมพยาบาลของผู้อ่านบ้าง มันก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จทุกรายอย่างแน่นอน

            อย่างไรก็ตามมีเครื่องมือบางอย่างที่จะช่วยให้เราสามารถฟื้นฟูจิตใจของตัวเองได้ และผมได้แนะนำสิ่งนี้กับเพื่อนและคนรู้จักหลายคนที่เผชิญกับช่วงเวลาอันเจ็บปวด นั่นก็คือ "การจดบันทึกประจำวัน" แต่มันไม่ใช่การบันทึกทั่ว ๆ ไป เพราะนอกจากเราจะต้องบันทึกเรื่องราวโดยสรุป ๆ ประจำวันของเราแล้ว เราจะต้องพรรณาอารมณ์ความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นหรือในตอนที่เขียนลงไป "ฉันรู้สึกเศร้าเมื่อเพื่อนร่วมงานต่อว่าฉันอย่างรุนแรง ใช้น้ำเสียงที่ดัง และไม่เพียงแค่เศร้าเท่านั้นแต่ยังรู้สึกโกรธอย่างมากด้วย น่าแปลกที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นของฉันอดทนได้ แต่ฉันใกล้จะแตกสลายแล้ว"

            นอกจากตัวอย่างในที่ทำงานแล้ว นักเรียนหลายคนในยุคสมัยปัจจุบันก็กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่สับสนและเต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวด "ฉันเหลือจะทนกับทัศนคติของครูหลายคน ทั้ง ๆ ที่บริบทของโลกเปลี่ยนไปแล้ว แต่พวกครูกลับมีมุมมองที่โบราณ คำพูดของพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าว และอยากจะหนีออกไปจากโลกนี้ ไม่เพียงแค่นั้นแต่เพื่อนของฉันที่แสนจะเห็นแก่ตัวก็ทำให้ฉันรู้สึกโกรธและเสียใจ เสียใจที่ตัวเองอ่อนแอ เสียใจที่ไม่เข้มแข็งเหมือนคนอื่น" นี่ป็นตัวอย่างที่ผมเชื่อว่าอาจจะสอดคล้องกับความคิดของใครหลายคน

            "การเดินเล่นฟังเพลง" ก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ผมชอบใช้เวลาที่รู้สึกแย่ ผมมักจะใช้เวลาตอนกลางคืนเดินเล่นข้างนอกท่ามกลางความมืด (ที่ไม่มิดเพราะมีแสงไฟ) และฟังเพลงบรรเลงบ้าง ต่างประเทศบ้างสลับไปมาทำให้หัวผมโล่งและพร้อมจะรับมือกับวันใหม่ ๆ ที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะเป็นอย่างไร การเดินเล่นยังเป็นการออกกำลังกายที่ดี แม้จะมันไม่ใช้พลังงานมากแต่หากเราเดินมาก ๆ ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถลดความอ้วนได้เหมือนกัน

            ทั้งการจดบันทึกประจำวัน การเดินเล่นฟังเพลง ได้รับการวิจัยมากมายว่าสามารถช่วยเหลือผู้คนจัดการอารมณ์ แม้แต่ผู้ป่วยซึมเศร้าก็สามารถใช้เครื่องมือสองอย่างนี้เพื่อช่วยเหลือตัวเองให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความหวัง สุดท้ายที่ผมจะแนะนำก็คือ "การพูดคุยกับใครสักคน" หากเป็นจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาก็ดี มาก แต่รองลงมาก็คือเพื่อนสนิทของเราที่เรามั่นใจว่าเขาพร้อมจะรับฟังเรื่องราวที่ไม่สบายใจของเรา การระบาย พูดคุยจะทำให้เราได้ปลดปล่อยอารมณ์ออกไปเหมือนกับการจดบันทึกประจำวัน มันทำให้เราได้เห็นความคิด อารมณ์และความรู้สึกของเราชัดเจนมากขึ้น

            นี่ยังไม่นับคำแนะนำดี ๆ ที่เราอาจจะได้รับจากผู้คนที่เราเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เขาฟังด้วย เพราะเรามักจะเห็นทางออกไม่ชัดเจนเมื่อเรากำลังเผชิญกับความเครียด ความวิตกกังวล หรือความเศร้า แต่คนข้างนอกจะมองเห็นเส้นทางของเราได้ชัดเจนมากกว่าเราเสียอีก สิ่งที่เราจะต้องไม่ลืมก็คือการเล่าเรื่องของเราอยู่ฝ่ายเดียวเป็นการไม่ยุติธรรมกับเพื่อนของคุณ เราควรที่จะสลับกันรับฟังและให้คำแนะนำแก่กันบ้าง เพราะอย่าลืมว่าไม่ใช่เพียงแค่เราที่ทุกข์ใจ ความทุกข์เป็นความปกติที่อยู่คู่กับมนุษย์โดยอัตโนมัติ

            ความทุกข์เป็นการตอบสนองโดยทั่วไปของมนุษย์ต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียด อย่างไรก็ตามบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบว่าความทุกข์ของเราเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อสถานการณ์ หรือว่าเรากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ดังนั้นอย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ การพูดออกมาหรือการบันทึกลงในกระดาษหรือทางดิจิทัลจะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น ช่วยให้เราสามารถปรับความรู้สึกให้กลับมาในจุดสมดุลได้ 

และก้าวไปสู่ขั้นตอนที่เหมาะสมสำหรับการเยียวยาจิตใจในระยะยาวต่อไป

อ้างอิง

Hepburn, E. (2022). A Toolkit for Modern Life: 53 Ways to Look After Your Mind. London: Greenfinch.

ความคิดเห็น