Scaffolding ด้วยเทคโนโลยีและ AI: การเสริมสร้างการเรียนรู้อย่างอิสระของนักเรียนออทิซึมสเปกตรัม

AOLP จะวิเคราะห์ โปรไฟล์ของผู้เรียน ทั้งด้านความรู้ความเข้าใจ อารมณ์ พฤติกรรม และความสนใจเฉพาะตัว แล้วออกแบบกิจกรรม เนื้อหา และวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน

            ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้กล่าวถึงเครื่องมือที่ช่วยจัดการเรียนรู้ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นนั่งร้านคอยพยุงและกำหนดทิศทาง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถก้าวไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมั่นคง แนวคิดนี้เรียกว่า Scaffolding หรือ “นั่งร้านทางการเรียนรู้” ซึ่งหมายถึงการที่ครูทำหน้าที่ประคับประคองและชี้แนะแนวทาง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ของตนเองได้ แม้ในช่วงที่โครงสร้างการเรียนรู้ยังไม่ชัดเจน หรือยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรและเดินหน้าต่อไปแบบไหน

            อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษางานวิจัยที่ใช้กลยุทธ์ Scaffolding กับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม พบว่าแนวคิดนี้หมายถึง การช่วยเหลือที่เป็นระบบ ชั่วคราว และปรับตามความสามารถของผู้เรียน โดยครู ผู้ปกครอง เพื่อน หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยี สามารถทำหน้าที่เป็นนั่งร้านให้ผู้เรียนทำกิจกรรมที่ยากเกินกว่าความสามารถเดิมของตนเองได้ และเมื่อผู้เรียนมีความสามารถมากขึ้น ความช่วยเหลือนี้จะค่อย ๆ ลดลง จนท้ายที่สุดสามารถทำได้ด้วยตนเอง

            กล่าวโดยสรุป ในทางวิชาการทั่วไป Scaffolding คือกลยุทธ์การช่วยเหลือชั่วคราวที่ออกแบบมาเพื่อให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้สิ่งที่ยากขึ้นได้ โดยครูจะค่อย ๆ ถอยบทบาทลงเมื่อผู้เรียนทำได้เอง แต่เมื่อนำแนวคิดนี้มาใช้กับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมฯ จะเน้นการปรับให้ตรงกับจุดแข็งและข้อจำกัดเฉพาะบุคคล เนื่องจากนักเรียนกลุ่มนี้มักมีความแตกต่างด้านการสื่อสาร การเข้าสังคม และการประมวลผลทางประสาทสัมผัส

ลักษณะสำคัญที่พบในงานวิจัยกับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม

            มีงานวิจัยที่นำแนวคิด Scaffolding ไปใช้กับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม บางงานอาจจะไม่ได้ใช้ชื่อนี้โดยตรง แต่มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับการใช้นั่งร้านเพื่อพยุงให้นักเรียนฯ ปรับตนเองให้ตรงกับจุดแข็งและข้อจำกัดเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะ ภาษา สังคม และปัญหาในการเรียนรู้ในระบบโรงเรียนโดยเฉพาะการเรียนรวม ซึ่งจากการสังเคราะห์งานวิจัยพบว่าลักษณะสำคัญที่พบมีดังนี้

            1) Linguistic Scaffolding หมายถึงการสนับสนุนพัฒนาการทางภาษา เช่น การอ่านนิทานซ้ำ ๆ โดยผู้ใหญ่ทำหน้าที่ชี้นำผ่านการตั้งคำถาม การเน้นคำสำคัญ หรือการขยายประโยค (เช่น เด็กพูดว่า “หมา” ผู้ใหญ่ขยายว่า “นี่คือหมาตัวใหญ่ที่กำลังวิ่ง”) วิธีการเหล่านี้ช่วยให้เด็กออทิซึมได้ฝึกใช้ภาษาในบริบทที่หลากหลายมากขึ้น และค่อย ๆ พัฒนาทักษะการสื่อสารเชิงโครงสร้าง

            2) Social Scaffolding หมายถึงการใช้บุคคลใกล้ชิด เช่น เพื่อนร่วมชั้นหรือผู้ปกครอง ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการชี้นำพฤติกรรมการเล่นและการสื่อสาร แทนที่ครูจะเป็นผู้ช่วยหลักเพียงคนเดียว นักเรียนออทิซึมฯ สามารถเรียนรู้ทักษะทางสังคมผ่านการสังเกตแบบอย่าง และการโต้ตอบซ้ำ ๆ กับเพื่อนหรือพ่อแม่ ซึ่งเป็นรูปแบบการเป็นนั่งร้านทางสังคมที่มีความหมาย เพราะช่วยให้เขาได้ฝึกสื่อสารและเข้าสังคมในสภาพแวดล้อมจริง

            3) Play-Based Scaffolding เป็นแนวทางที่ใช้การเล่นเป็นสื่อกลางตามธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นการโต้ตอบและการใช้ภาษาในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองสามารถสอดแทรกการชี้นำเล็ก ๆ ได้หลายวิธี เช่น การให้ทางเลือก (“อยากเล่นบล็อกสีแดงหรือสีน้ำเงินดี”) เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสื่อสารและตัดสินใจด้วยตนเอง การขยายประโยค (หากนักเรียนพูดว่า “บอล” ผู้ใหญ่สามารถต่อเติมว่า “ใช่แล้ว นี่คือ ลูกบอลสีแดง”) เพื่อให้เด็กได้ยินโครงสร้างภาษาที่ซับซ้อนขึ้นโดยไม่รู้สึกถูกสอนตรง ๆ

            หรือการใช้อุปกรณ์ที่ดึงดูดความสนใจ เช่น ของเล่นที่เคลื่อนไหวได้หรือมีเสียง เมื่อนักเรียนสนใจ ผู้ใหญ่สามารถตั้งคำถามสั้น ๆ เช่น “นี่คืออะไร” หรือ “อยากให้มันเดินไปทางไหนดี” วิธีการเหล่านี้ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้นักเรียนได้ทดลองใช้ภาษาใหม่ ๆ และสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ 

            4) Visual Scaffolding คือการใช้สื่อภาพ เช่น ไอคอน ตารางกิจกรรม (Visual schedules) หรือการ์ดสัญลักษณ์ เพื่อช่วยให้นักเรียนออทิซึมฯ ที่มักเข้าใจข้อมูลเชิงภาพได้ดีกว่าข้อความยาว ๆ สามารถเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น สื่อเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น Scaffolding ที่ช่วยลดความซับซ้อนทางภาษา ทำให้นักเรียนเข้าใจลำดับขั้นตอนการทำกิจกรรมได้ชัดเจน คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า และลดความวิตกกังวลที่มักเกิดจากความไม่แน่นอน

            5) Digital Scaffolding คือการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเป็นนั่งร้านทางการเรียนรู้ เช่น การใช้หุ่นยนต์สังคม (Social robot) ที่สามารถโต้ตอบและสร้างสถานการณ์การสื่อสาร หรือแอปพลิเคชันที่มีระบบเตือนและการชี้นำทีละขั้น (Step-by-step guidance) สิ่งเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมของนักเรียน เพิ่มโอกาสในการโต้ตอบ และทำให้การเรียนรู้มีความเป็นส่วนบุคคลมากขึ้น

Scaffolding ด้วยเทคโนโลยีและ AI

            โดยในบทความนี้ผู้เขียนมุ่งเน้นไปที่ Digital Scaffolding ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีเป็นนั่งร้านช่วยพยุงกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีภาวะออทิซึมฯ ตัวอย่างที่สำคัญ ได้แก่ การใช้ หุ่นยนต์สังคมที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการโต้ตอบทางสังคม โดยหุ่นยนต์สามารถแสดงท่าทาง การสบตา หรือการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดการมีส่วนร่วมและเพิ่มโอกาสในการโต้ตอบกับผู้อื่นมากขึ้น ดังที่กล่าวมาข้างต้น

            อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการใช้ แอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่มีการแจ้งเตือนและการชี้นำทีละขั้น สามารถทำหน้าที่เป็นนั่งร้านการเรียนรู้ในลักษณะของภาพ และ การสนับสนุนให้เกิดการคิดใคร่ครวญ (Metacognitive support) โดยช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจขั้นตอนการทำงาน ควบคุมตนเองได้ดียิ่งขึ้น และค่อย ๆ พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

หุ่นยนต์สามารถแสดงท่าทาง การสบตา หรือการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดการมีส่วนร่วม

            Digital Scaffolding จึงไม่ได้เป็นตัวเสริมแรง เหมือนกับการให้เล่น iPad (ที่พ่อแม่ในปัจจุบันนิยมกัน) เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น ตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างครู เพื่อน ผู้ปกครอง และนักเรียนออทิซึมฯ ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่สามารถปรับตัวตามความต้องการเฉพาะบุคคล ส่งผลให้การเรียนรู้มีความเป็นส่วนตัว (Personalized learning) มากขึ้น และสอดคล้องกับแนวทางการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยจะขออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม

ยกตัวอย่างเทคโนโลยี และ AI ที่ใช้เพื่อ Scaffolding

            1) เทคโนโลยีที่สามารถปรับตัว (Adaptive Technology) คือเทคโนโลยีที่ออกแบบให้ เรียนรู้และปรับรูปแบบการช่วยเหลือ ตามความสามารถและความต้องการเฉพาะของผู้เรียนแต่ละคน ไม่ใช่ใช้วิธีเดียวกับนักเรียนทุกคน แต่ปรับระดับนั่งร้านให้พอดีกับแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น

            ระบบเตือนและชี้นำแบบปรับได้ (Adaptive Prompting Systems) แอปพลิเคชันที่สามารถปรับจำนวนครั้งของการเตือนหรือรูปแบบการชี้นำ (เช่น จากภาพ --> คำ --> เสียง) ตามพฤติกรรมการตอบสนองของนักเรียนให้เหมาะสม

            แดชบอร์ดการเรียนรู้ส่วนบุคคล (Personalized Learning Dashboards) ระบบที่เก็บข้อมูลพฤติกรรม เช่น เวลาที่ใช้ในการทำงาน ความถี่ของการตอบสนอง แล้วปรับกิจกรรมหรือเนื้อหาให้เหมาะสม เช่น หากนักเรียนตอบได้ดี ระบบจะลดความช่วยเหลือ แต่ถ้าเด็กติดขัด ระบบจะเพิ่มสัญลักษณ์หรือคำอธิบาย

            2) Autism Online Learning Platform (AOLP) เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อสนับสนุนผู้ที่มีภาวะออทิซึม จุดเด่นคือการสร้างเส้นทางการเรียนรู้เฉพาะบุคคล ซึ่งแตกต่างจากการเรียนออนไลน์ทั่วไปที่ใช้โครงสร้างเดียวกับทุกคน โดย AOLP จะวิเคราะห์โปรไฟล์ของผู้เรียน ทั้งด้านความรู้ความเข้าใจ อารมณ์ พฤติกรรม และความสนใจเฉพาะตัว แล้วออกแบบกิจกรรม เนื้อหา และวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน

            ยกตัวอย่างเช่น หากนักเรียนออทิซึมฯคนหนึ่งมีความสนใจพิเศษเกี่ยวกับรถไฟ และมีจุดแข็งด้านการจดจำภาพ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการสื่อสารเชิงสังคม ระบบ AOLP อาจสร้างบทเรียนที่ใช้ ภาพรถไฟ วิดีโอสั้น หรือเกมจำลองเส้นทางรถไฟ เป็นสื่อกลางในการสอนคำศัพท์ใหม่ ๆ และการสนทนา เช่น “รถไฟสีอะไร” หรือ “รถไฟขบวนนี้ไปที่ไหน” 

            พร้อมทั้งมีการชี้นำทีละขั้น (Step-by-step prompts) เพื่อกระตุ้นให้เขาตอบสนองและโต้ตอบกับเนื้อหา เมื่อนักเรียนสามารถโต้ตอบได้คล่องขึ้น ระบบก็จะค่อย ๆ ลดความช่วยเหลือ เช่น ตัดกระตุ้น หรือตัวชี้นำ (Prompt) ออก หรือเพิ่มความซับซ้อนของบทสนทนา เพื่อให้นักเรียนพัฒนาทักษะการสื่อสารได้ด้วยตนเองในที่สุด

            3) หุ่นยนต์สังคม (Social robots) คือหุ่นยนต์ที่สามารถปรับโทนเสียง ท่าทาง หรือความเร็วในการโต้ตอบให้เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน เช่น หากเด็กมีสมาธิสั้น หุ่นยนต์จะใช้การโต้ตอบที่สั้น กระชับ และใช้ท่าทางประกอบมากขึ้น 

            มีงานวิจัยเรื่อง Social Robots: A Promising Tool to Support People with Autism. A Systematic Review of Recent Research and Critical Analysis from the Clinical Perspective (2024) เป็นการสังเคราะห์งานวิจัยที่รวบรวมงานวิจัยระหว่างปี 2015–2023 ทั้งหมด 47 เรื่อง เพื่อตรวจสอบบทบาทของหุ่นยนต์สังคมในการสนับสนุนบุคคลออทิซึมฯ โดยคณะวิจัยพิจารณาทั้งในเชิงวิชาการและมุมมองทางคลินิกว่าหุ่นยนต์เหล่านี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือบำบัดหรือช่วยเสริมการเรียนรู้ได้จริงเพียงใด

            ผลการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนออทิซึมฯ มักตอบสนองเชิงบวกต่อหุ่นยนต์สังคมมากกว่าการโต้ตอบกับผู้ใหญ่หรือเพื่อน เนื่องจากหุ่นยนต์มีรูปแบบการสื่อสารที่ คาดเดาได้ ไม่ซับซ้อน และสม่ำเสมอ เขาจึงรู้สึกปลอดภัยที่จะโต้ตอบ งานหลายชิ้น (ที่สังเคราะห์) รายงานว่านักเรียนฯ ที่เข้าร่วมกิจกรรมกับหุ่นยนต์มี การสบตา การเลียนแบบ การเริ่มต้นการสื่อสาร และการมีส่วนร่วม ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังถูกนำไปใช้ใน กิจกรรมการเล่น และการเล่านิทานเพื่อกระตุ้นการใช้ภาษาได้ด้วย

            4) AI Social Coach เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาโดยนักวิจัยของ Stanford ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการทำหน้าที่เสมือน โค้ชทางสังคม เพื่อช่วยบุคคลที่มีภาวะออทิซึมฝึกทักษะการเอาใจใส่ (Empathy) และการโต้ตอบทางสังคม ระบบนี้ออกแบบให้ผู้ใช้ได้ฝึกผ่านการสนทนาและสถานการณ์จำลอง 

            โดย AI จะให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ เช่น การตีความอารมณ์ของผู้อื่นหรือการเลือกคำตอบที่เหมาะสมในบทสนทนา ผลการใช้งานพบว่าผู้เข้าร่วมสามารถพัฒนาความเข้าใจทางอารมณ์และแสดงออกเชิงสังคมได้ดีขึ้น รวมถึงมีความมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสารกับผู้อื่น 

            สำหรับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมฯ นวัตกรรมนี้มีประโยชน์อย่างมาก เพราะช่วยลดอุปสรรคในการเรียนรู้ทักษะทางสังคมในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและไม่กดดัน อีกทั้งยังสามารถทำซ้ำได้บ่อยครั้ง ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องและนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

            จาก Concept และตัวอย่างที่ผมได้หยิบยกมาจากงานวิจัยต่าง ๆ ผู้อ่านคงจะเห็นแล้วว่าในปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยเหลือนักเรียนออทิซึมสเปกตรัมได้ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้ในห้องเรียน และทักษะทางสังคม นักเรียนเหล่านี้มีวิธีการคิดและการมองโลกแตกต่างจากเราทุกคน จึงทำให้เป็นอุปสรรคในทางการดำรงชีวิตแทบจะทุกทาง 

เทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นโอกาสที่จะสร้างรั่งร้านให้เกิดการเรียนรู้อย่างอิสระและให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตในสังคมทุกด้านอย่างเท่าเทียม

อ้างอิง

Bellini, S., & Akullian, J. (2007). A meta-analysis of video modeling and video self-modeling interventions for children and adolescents with autism spectrum disorders. Exceptional Children, 73(3), 264–287. https://doi.org/10.1177/001440290707300301

Fleury, V. P., Hedges, S., Hume, K., Browder, D. M., Thompson, J. L., Fallin, K., … Vaughn, S. (2014). Addressing the academic needs of adolescents with autism spectrum disorder in secondary education. Remedial and Special Education, 35(2), 68–79. https://doi.org/10.1177/0741932513518823

Kim, E. S., Berkovits, L. D., Bernier, E. P., Leyzberg, D., Shic, F., Paul, R., & Scassellati, B. (2013). Social robots as embedded reinforcers of social behavior in children with autism. Journal of Autism and Developmental Disorders, 43(5), 1038–1049. https://doi.org/10.1007/s10803-012-1645-2

O’Neill, D. K., & Sharan, C. (2012). Repeated storybook reading as a language intervention for young children with autism: A case study on the application of scaffolding. Journal of Speech-Language Pathology and Applied Behavior Analysis, 5(1), 22–33.

Riva, G., & Sacco, K. (2024). Social robots: A promising tool to support people with autism. A systematic review of recent research and critical analysis from the clinical perspective. Review Journal of Autism and Developmental Disorders. Advance online publication. https://doi.org/10.1007/s40489-024-00434-5

Schreibman, L., Dawson, G., Stahmer, A. C., Landa, R., Rogers, S. J., McGee, G. G., … Halladay, A. (2015). Naturalistic developmental behavioral interventions: Empirically validated treatments for autism spectrum disorder. Journal of Autism and Developmental Disorders, 45(8), 2411–2428. https://doi.org/10.1007/s10803-015-2407-8

Scassellati, B., Admoni, H., & Mataric, M. (2012). Robots for use in autism research. Annual Review of Biomedical Engineering, 14, 275–294. https://doi.org/10.1146/annurev-bioeng-071811-150036

ความคิดเห็น