ระหว่างทางเลือกที่ยากทั้งสองด้าน (Between a rock and a hard place): จิตวิทยาเบื้องหลังการตัดสินใจที่เจ็บปวด
มันคือการต่อสู้เชิงอารมณ์อย่างลึกซึ้ง ระหว่าง สมองที่ต้องการความแน่นอน กับ หัวใจที่ต้องการความถูกต้องในความรู้สึก
ผู้อ่านเคยอยู่ในจุดที่ “เลือกทางไหนก็เหมือนแพ้” ไหม ไม่ว่าจะเลือกอยู่ต่อในงานที่มั่นคงแต่ไม่มีความสุข หรือเสี่ยงลาออกเพื่อทำสิ่งที่รักแต่ไม่แน่ใจว่าจะรอดไหม เพราะทุกทางล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย
ผมอยากจะเขียนบทความนี้มานานมากแล้ว เพราะตลอดประสบการณ์ของผม มักจะพบเจอตัวเลือกระหว่างแย่ กับ แย่มากที่สุด เสมอ ผมเรียกตลก ๆ ว่า เส้นทางระหว่างขี้กับขี้ แต่เมื่อผมอ่านหนังสือ The Stories of Your Life ที่เขียนโดย Ben Ambridge เขาเรียกสถานการณ์แบบนี้ โดยใช้ภาษาอังกฤษที่ผมมองว่าสวยงาม เขาเรียกว่า “Between a rock and a hard place” ที่แปลตรงตัวว่า “อยู่ระหว่างหินกับที่แข็ง”
แต่ในบทความนี้ผมจะขอใช้ "ระหว่างทางเลือกที่ยากทั้งสองด้าน" หมายถึง ภาวะที่เราต้องเลือกระหว่างสองทางเลือกที่ต่างก็ไม่น่าพิสมัยนัก เป็นสภาวะที่ทั้งเจ็บและอึดอัด เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มีสิ่งที่ต้องเสียอยู่ดี ซึ่งคำนี้มีที่มาที่น่าสนใจ
คำว่า “Between a rock and a hard place” มาจากตำนานกรีกของ โอดิสซีอุส (Odysseus) ที่ต้องพาเรือฝ่าระหว่าง “สคิลลา” ปีศาจหกหัว กับ “คารีบดิส” อสูรน้ำวนยักษ์ กล่าวคือเขาหนีข้างหนึ่งก็จะเจอกับอีกข้างหนึ่งอยู่ดี ในที่สุดเขาเลือกที่จะเสียลูกเรือบางส่วนเพื่อรักษาเรือไว้ ซึ่งสะท้อนความจริงอันขมขื่นของชีวิตว่า “บางครั้งการรอดพ้น ไม่ได้มาจากการชนะทุกอย่าง แต่อยู่ที่การเลือกสิ่งที่ยอมเสียได้”
Ben Ambridge ผู้เขียน The Stories of Your Life มองว่าพล็อตนี้สะท้อนพฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะเราทุกคนต่างต้องเผชิญจุดที่ต้อง “เลือกสิ่งที่ดีที่สุดในทางที่เลวร้าย” อยู่เสมอ และในยุคปัจจุบัน ปัญหายิ่งซับซ้อนขึ้นจนเราหลีกไม่พ้นที่จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ่อยขึ้นกว่าเดิม
จิตวิทยาเบื้องหลังการตัดสินใจที่เจ็บปวด
การอยู่ระหว่างทางเลือกที่ยากทั้งสองด้าน ไม่ได้ทำให้เราทรมานเพียงเพราะต้องเลือกระหว่างสองสิ่งที่ไม่ชอบพอกันเท่านั้น แต่เพราะมันกระทบต่อระบบลึกที่สุดของจิตใจและสมอง ระบบที่เกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอด การให้คุณค่าตนเอง และความกลัวการสูญเสีย ทั้งหมดนี้รวมกันกลายเป็นความเจ็บปวดที่แทบไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
1) สมองเราเกลียดการสูญเสีย (Loss aversion) Daniel Kahneman (2002) นักจิตวิทยารางวัลโนเบล อธิบายว่าสมองมนุษย์ตอบสนองต่อ “การสูญเสีย” รุนแรงกว่าการ “ได้รับ” ถึงสองเท่า นั่นหมายความว่า การต้องเลือกระหว่างสองสิ่งที่แย่ คือการบังคับให้สมองยอมรับ “การสูญเสียอย่างน้อยหนึ่งอย่าง” ซึ่งวงจรสมองจะตีความเป็นความเจ็บปวดทางอารมณ์ คล้ายกับอาการบาดเจ็บทางกาย เราจึงรู้สึกเหมือนกำลังเสียบางส่วนของตัวเองไป ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง โอกาส หรือภาพลักษณ์ในสายตาผู้อื่น
2) ความขัดแย้งทางใจ (Cognitive dissonance) เมื่อเราเลือกสิ่งหนึ่ง เราก็ต้องปฏิเสธอีกสิ่งหนึ่งที่เราก็ให้คุณค่าเช่นกัน ความขัดแย้งนี้สร้างแรงกดดันภายใน เพราะจิตใจไม่ชอบอยู่ในภาวะที่สองความจริงสวนทางกัน เช่น “ฉันรักงานนี้” แต่ “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว” ความไม่สอดคล้องเช่นนี้ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ เหมือนมีเสียงสองเสียงต่อสู้กันในหัว หนึ่งเสียงบอกให้ไป อีกเสียงบอกให้อยู่ และเราก็ติดอยู่ตรงกลางของความเงียบอันทรมานนั้น
สภาวะที่ความคิดหรือความเชื่อสองอย่างในใจขัดแย้งกันเอง จนทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
3) ความกลัวที่จะเลือกผิด (Fear of regret) ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน การตัดสินใจหนึ่งครั้งอาจส่งผลต่ออนาคตอีกหลายด้าน ความซับซ้อนนี้ทำให้เรากลัวว่าจะเลือกผิด กลัวว่าทางที่เลือกจะนำไปสู่ความเสียใจในวันหน้า และกลัวว่าทางที่ไม่ได้เลือกจะกลายเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เราปล่อยไป ความกลัวนี้ไม่เพียงสะท้อนความไม่มั่นใจในทางเลือก แต่ยังสะท้อนความไม่มั่นใจในตัวเราเองที่เป็นผู้เลือกด้วย
ทั้งหมดนี้อธิบายได้ว่า การตัดสินใจระหว่าง “ทางเลือกที่ยากทั้งสองด้าน” ไม่ได้ยากแค่ในเชิงเหตุผล แต่เป็นการต่อสู้เชิงอารมณ์อย่างลึกซึ้ง ระหว่าง สมองที่ต้องการความแน่นอน กับ หัวใจที่ต้องการความถูกต้องในความรู้สึก และบางครั้ง ความเจ็บปวดที่สุดไม่ได้อยู่ที่การเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่อยู่ที่การต้องยอมรับว่า “เราไม่อาจได้ทุกอย่าง”
แต่นั้นแหละคือธรรมชาติของการเติบโต
หลักสติและสัมปชัญญะ: ทางรอดจากความสับสนในใจ
มาถึงตรงนี้แล้ว ผมสามารถสรุปได้เลยว่า "ชีวิตบีบให้ต้องเลือก และไม่มีคำตอบใดที่ดูสมบูรณ์แบบที่สุด" ดังนั้นผมขอแนะนำ คือใช้สติและสัมปชัญญะ เป็นเครื่องมือเดียวที่เรายังพึ่งได้อย่างแท้จริง
วิธีการคือ ก่อนจะตัดสินใจ ลองหยุดหายใจลึก ๆ แล้วถามตัวเองว่า "ฉันกำลังเลือกเพราะอะไร" ผมเชื่อว่าคำถามสั้น ๆ นี้อาจเปลี่ยนทิศทางทั้งหมดของใจเราได้
สติ (Awareness) ทำให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ เห็นแรงผลักจากความกลัว ความคาดหวัง หรือความอยากได้อย่างที่มันเป็น
สัมปชัญญะ (Full) ทำให้เราเข้าใจเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการเลือกนั้นอย่างโปร่งใส ว่าเรากำลังทำสิ่งนี้เพราะต้องการ “หนี” หรือเพราะ “เข้าใจ”
เมื่อสองสิ่งนี้ทำงานร่วมกันจะกลายเป็น "Full Awareness" (การตระหนักรู้เต็มขั้น) ผลคือการตัดสินใจจะไม่เกิดจากความรีบร้อนหรือแรงผลักทางอารมณ์ แต่เกิดจากการมองเห็นอย่างเข้าใจและเท่าทันใจตนเอง ความชัดเจนที่แท้จริงจึงไม่ได้มาจากการคิดให้มากขึ้น แต่จากการ “หยุดคิดแล้วเห็น” เห็นทั้งอารมณ์ เหตุผล และความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น
จากประสบการณ์ของผม บางครั้งการมีสติรู้ตัวเพียงชั่วขณะ ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยน “ทางตัน” ให้กลายเป็น “ทางผ่าน” ได้อย่างนุ่มนวล
ในโลกยุคใหม่ เราอาจต้องเผชิญสถานการณ์ “Between a rock and a hard place” บ่อยกว่าที่เคย แต่ความยากนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำร้ายเรา หากมีไว้เพื่อ “ฝึกให้เราเลือกอย่างมีสติ” และเรียนรู้จากผลลัพธ์ที่ตามมา เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจที่ดีไม่ใช่การเลือกทางที่ถูกต้องที่สุดเสมอไป แต่อยู่ที่การอยู่กับทางที่เราเลือกได้อย่างสงบ
แล้วผู้อ่านล่ะ เคยอยู่ระหว่าง "rock" กับ "hard place" ไหม แล้วเลือกอย่างไร....และเรียนรู้อะไรจากการเลือกนั้นบ้าง
อ้างอิง
Ambridge, B. (2024). The stories of your life: The eight masterplots that explain human behaviour. London: Profile Books.
Kahneman, D. (2002). Maps of bounded rationality: A perspective on intuitive judgment and choice. Nobel Prize Lecture.
Kabat-Zinn, J. (1994). Wherever you go, there you are: Mindfulness meditation in everyday life. New York: Hyperion.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น