การเปิดใจยอมรับความรู้สึกแม้จะปวดร้าวบ้าง คือเครื่องยืนยันว่า “เรายังมีชีวิตอยู่” และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตจากมันได้เสมอ
บางวันฉันตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงในหัวที่เต็มไปด้วยคำถาม “ทำไมถึงรู้สึกไม่ดี ทั้งที่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย” ทั้งวันเดินเหม่อลอย คล้ายกลับไม่ได้นอน "ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้น สาเหตุคืออะไรกัน"
ความเศร้าไม่เคาะประตู มันแค่แทรกเข้ามาในช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างลมหายใจ เหมือนคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งโดยไม่ทันตั้งตัว
วันหนึ่งฉันอาจยิ้มกว้างได้โดยไม่มีเหตุผล อีกวันกลับนั่งเงียบอยู่ในมุมเดิม ราวกับหัวใจหนักเกินกว่าจะขยับ ฉันเคยโทษตัวเองว่า "ทำไมถึงอ่อนไหวขนาดนี้" แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป จึงเริ่มเข้าใจว่า "นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของจิตใจ แต่คือ จังหวะของชีวิตที่สาดซัดไปมา ระหว่างสุขและทุกข์อย่างเป็นธรรมชาติ"
ในพุทธจิตวิทยา ความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เรียกว่า ไตรลักษณ์ ที่หมายถึง ธรรมชาติสามประการของสรรพสิ่ง ประกอบไปด้วย อนิจจัง (ความไม่เที่ยงแท้) ทุกขัง (ความเป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้) อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ไม่มีตัวตนที่แน่นอนเป็นของเรา) ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อม “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป” โดยไม่มีสิ่งใดคงเดิม ความสุขจึงไม่ถาวร เช่นเดียวกับความเศร้า ไม่ว่าความรู้สึกใดจะรุนแรงเพียงใด มันก็ล้วนเป็น “ปรากฏการณ์ชั่วคราวของจิต”
เมื่อเรารู้เท่าทันเช่นนี้ อารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องควบคุมอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เราควร “รับรู้และมองเห็นอย่างเต็มใจ” ไม่มีใครสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ทั้งสิ้น และเราไม่ควรจะไปพยายามขจัดหรือทำลายมัน
คุณไม่สามารถหยุดยั้งเกรียวคลื่นได้ แต่คุณสามารถเรียนรู้ที่จะโต้ไปกับมันได้
เพราะทุกครั้งที่เรามองเห็นอารมณ์ของตัวเองโดยไม่ตัดสิน เรากำลังสร้างพื้นที่แห่งปัญญาให้ใจได้พักหายใจ และเมื่อเห็นมันชัด เราจะไม่ถูกพัดพาไปกับมันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ได้หายไปไหน แต่เราจะไม่จมอยู่ในทุกข์แบบเดิม ทว่าเราเริ่มรู้วิธีวางมันไว้ตรงหน้า แทนที่จะปล่อยให้มันกลืนเราไว้ข้างใน
ในทางจิตวิทยาสมัยใหม่ ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า Emotional fluctuation แปลคือการแกว่งขึ้นลงของอารมณ์ซึ่งไม่ใช่สัญญาณของความผิดปกติ แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า “ระบบอารมณ์ของเรายังทำงาน” อย่างสมดุล การรู้สึกดีบ้าง แย่บ้าง หมดแรงบ้าง หรือมีพลังบ้าง คือหลักฐานว่าเรายังตอบสนองต่อชีวิตได้ตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มีหัวใจและความทรงจำ
นักจิตวิทยาบางท่านอธิบายว่า การที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้คือ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Emotional resilience) ซึ่งเป็นกลไกช่วยให้เรากลับมาตั้งหลักได้เมื่อเจอคลื่นชีวิตกระแทก มนุษย์ที่ไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปต่างหากที่น่ากลัว เพราะนั่นหมายถึงหัวใจเริ่มปิดประตูรับความจริง ปิดทั้งความเจ็บและความงามของการมีชีวิต
ในทางกลับกัน การเปิดใจยอมรับความรู้สึกแม้จะปวดร้าวบ้าง คือเครื่องยืนยันว่า “เรายังมีชีวิตอยู่” และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตจากมันได้เสมอ
เราทุกคนต่างอยากมีชีวิตที่นิ่ง สงบ และไม่ผันผวน แต่ความจริงคือ ชีวิตไม่ได้ต้องการความนิ่ง มันต้องการการไหล เหมือนคลื่นในทะเล ที่เดี๋ยวพัดเข้า เดี๋ยวถอยออก เราห้ามไม่ให้คลื่นมาไม่ได้ แต่เรา “เรียนรู้ที่จะโต้คลื่น” ได้ ดังที่
จอน คาบัต-ซินน์ (Jon Kabat-Zinn) ศาสตราจารย์กิตติคุณ นักวิทยาศาสตร์ นักเขียน และผู้ก่อตั้งโปรแกรม ลดความเครียดโดยอาศัยสติ (Mindfulness-Based Stress Reduction - MBSR) ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเคยกล่าวไว้ว่า
“You can’t stop the waves, but you can learn to surf.” (คุณไม่สามารถหยุดยั้งเกรียวคลื่นได้ แต่คุณสามารถเรียนรู้ที่จะโต้ไปกับมันได้)
วันนี้ฉันเศร้า พรุ่งนี้ฉันสุข วันต่อมาอาจหดหู่อีกครั้ง และวันถัดไปก็หัวเราะกับเรื่องเล็ก ๆ ได้อีกหน ไม่มีอารมณ์ไหนผิด ไม่มีอารมณ์ไหนควรถูกกดทับ มีเพียงการรับรู้ ว่านี่คือจังหวะของชีวิต (Rhythm of life) เท่านั้นเอง
และทุกครั้งที่ฉันหายใจเข้าออก ฉันกำลังโต้คลื่นนั้นอยู่ อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อ้างอิง
Baek, S. (2019). อยากตาย แต่ก็อยากกินต็อกบกกี (ญาณิน, ผู้แปล). พิคโคโล. (Original work published 2018)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น