พุทธจิตวิทยาเกี่ยวกับความทุกข์: สภาวะที่ไม่สมบูรณ์ ไม่คงที่ และไม่เป็นไปตามใจเรา

เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ใจเราจะเริ่มผ่อนคลายลง เพราะเราไม่ต้องต่อสู้กับทุกข์อีกต่อไป

            ความคิดดั่งเดิมเกี่ยวกับความทุกข์คือความไม่สบายใจ ความไม่พึงพอใจ ความเศร้า ความเจ็บปวด นี้คือการอธิบายที่ไม่ผิด แต่เป็นเพียงแค่หน้าฉากเดียวเท่านั้น นี้คือสิ่งที่ผมเรียนรู้มาตลอดช่วงชีวิต แต่ไม่นานมานี้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับอีกฉากหน้าหนึ่งของความทุกข์ 

            ความทุกข์ คือครูที่ดีที่สุด มนุษย์เราสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลวได้ ยิ่งหากเรามีกรอบความคิดแบบเติบโตแล้ว ความท้าทายหรืออุปสรรคที่ขวางเส้นทางเราจะกลายเป็นวัตถุดิบในการเรียนรู้ชั้นเลิศ กลับมาที่อีกฉากหน้าหนึ่งของความทุกข์คือ สภาวะที่ไม่สมบูรณ์ ไม่คงที่ และไม่เป็นไปตามใจเรา 

            จริง ๆ แล้วประโยคนี้ถือว่าเป็นแก่นทองคำของพุทธจิตวิทยาเลย  เพราะมันทำให้เราเข้าใจว่า “ทุกข์” ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะตอนเราเสียใจ ร้องไห้ หรือเจ็บปวดเท่านั้น แต่มันเป็น “โครงสร้างของความจริงในชีวิต” ที่แฝงอยู่แม้ในช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด

            ลองสังเกตดูนะครับ  เรามีความสุขจากการได้บางสิ่ง แต่ส่วนหนึ่งของความสุขนั้นก็มาพร้อม “ความกลัวที่จะสูญเสียมัน” เราได้งานดี คู่ดี บ้านดี แต่ใจลึก ๆ ก็ยังรู้ว่ามันอาจไม่อยู่ตลอดไป นั่นแหละคือ ทุกข์  ความไม่สมบูรณ์โดยธรรมชาติของสิ่งที่เรายึดว่า "ดี"

ซิกมันด์ ฟรอยด์ เชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยน "ความทุกข์อันไร้เหตุผลให้กลายเป็นความทุกข์ที่เข้าใจได้"

            กล่าวคือ มันทำให้เรามองลึกลงไปในความหมายของฉากหน้าความทุขก์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สอดคล้องกับพุทธจิตวิทยาที่มองว่า “ทุกข์” คือ กระจกสะท้อนจิต  เวลามีทุกข์ เราจะเห็น ความอยาก ยึด หรือกลัว ของตัวเองชัดขึ้น 

ทุกข์เพราะคนไม่รัก อาจหมายถึง เราเห็น “ความอยากให้คนอื่นเติมเต็มเรา”  

ทุกข์เพราะล้มเหลว อาจหมายถึง เราเห็น “ความยึดมั่นในความสำเร็จและตัวตน”

ทุกข์เพราะสูญเสีย อาจหมายถึง เราเห็น “ความกลัวการเปลี่ยนแปลง”

            ในมุมของพุทธจิตวิทยา “ทุกข์” ไม่ใช่ศัตรูของชีวิต แต่คือ แรงสั่นสะเทือนที่เตือนให้เรามองเห็นความจริง ว่าทุกสิ่ง ทั้งสุขและเศร้า ต่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 

ทุกข์ก็ ไม่เที่ยง (อนิจจัง)  มันมาแล้วก็ไป

ทุกข์ก็ ไม่มีตัวตน (อนัตตา)  มันเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวเราเพียงอย่างเดียว

ทุกข์ก็ เป็นครูของปัญญา   เพราะมันทำให้เรารู้จักความจริงของชีวิต

            ดังนั้น “ความเข้าใจทุกข์” ไม่ได้ทำให้ทุกข์หายไปทันที แต่มันทำให้ “ความทุกข์ไม่สามารถครอบเราได้เหมือนเดิมอีกต่อไป”

            เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ใจเราจะเริ่มผ่อนคลายลง เพราะเราไม่ต้องต่อสู้กับทุกข์อีกต่อไป สุดท้ายเราเริ่มอยู่กับมันอย่างเข้าใจ เหมือนคนที่รู้ว่า คลื่นไม่ได้มีไว้ให้หยุด แต่มันมีไว้ให้เราเรียนรู้จังหวะของมัน

            ทำให้ผมนึกถึงหนังสือ อยากตาย แต่ก็อยากกินต็อกบกกี ผู้เชียน แบ็ก เซฮี (Baek Se-hee) ที่เล่าเรื่องการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าอย่างตรงไปตรงมา เธอเขียนว่า 

บกพร่องบ้างก็ไม่เป็นไร  

ไม่เคยชินก็ไม่เป็นไร  

หมดกำลังใจก็ไม่เป็นไร

วันนี้ฉันอาจจะทำได้ดีหรือไม่ดีก็ได้ 

แต่ไม่เป็นไรหรอก 

เพราะมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตเท่านั้นเอง

อ้างอิง

Baek, S. (2019). อยากตาย แต่ก็อยากกินต็อกบกกี (ญาณิน, ผู้แปล). พิคโคโล. (Original work published 2018)

ความคิดเห็น