พนักงานที่มีความสุขจะมีผลิตภาพดีขึ้น
มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นและให้บริการลูกค้าดีขึ้น
พวกเขาจะลาออกหรือลาป่วยน้อยลง
ทว่าหลังจากที่ตกลงกันจนมาถึงขั้นสุดท้ายมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาเสนอราคาสูงมาก มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับเฮนรี่เหลือเกิน ซึ่งผู้ซื้อบริษัทของเขาคือเบิร์กเชียร์แฮธาเวย์ บริษัทข้ามชาติที่มีบริษัทในเครือมากมายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไกโค บริษัทประกันภัย บริษัทเสื้อผ้า ไอศกรีม โคคา-โคลา และไอบีเอ็ม นอกจากนั้นยังมีบริษัทอื่น ๆ อีกมากมาย บริษัทนี้มีพนักงานทั้งสิ้น 250,000 คน มีรายได้ปีละกว่า 180,000 ล้านดอลลาร์ CEO ของบริษัทนี้คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)
เฮนรีในวัย 59 ปี กำลังฝันหวานวางแผนเที่ยวกับภรรยาและลูกสาวสี่คนของเขา ระหว่างที่กำลังบินไปพบเจ้านายใหม่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาวาดฝันเกษียณของตัวเองอย่างสวยงาม และถึงแม้ว่าเขาจะมีปัญหากับบัฟเฟตต์ในอนาคต เขาก็จะลาออก ไม่สนใจ พูดง่าย ๆ คือเขากะไม่อยู่แน่นอน กะชิว ๆ สบาย ๆ จนกระทั่งเขาเข้าไปคุยกับวอร์เรน บัฟเฟตต์เป็นเวลาหกชั่วโมงทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เขาเดินออกจากห้องประชุมมาเหมือนเป็นคนละคน พร้อมกับความตั้งใจว่าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้บริษัทก้าวหน้า ชาร์ลส์ เฮนรี ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Fortune ว่า "ผมเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทของบัฟเฟตต์ สุดท้ายคุณจะรู้สึกว่าไม่อยากทำให้ชายคนนี้ผิดหวัง" เขารับตำแหน่ง CEO ต่อเพื่อพาบริษัทผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่สุดท้ายเขาก็อยู่ยาวถึง 4 ปีครึ่ง
ไม่ใช่เพียงแค่ ชาร์ลส์ เฮนรี ที่กระตือรือร้นอยากจะทำงานให้กับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่พนักงานจำนวนมากที่ได้พูดคุยกับเขาก็รู้สึกเหมือนกันแทบจะทุกคน วิธีการบริหารของเขาไม่เหมือนใคร ซึ่งรวมถึงการมอบอำนาจในการตัดสินใจให้กับพนักงานของตนเอง แทนที่จะคอยควบคุมโดยตรง น้อยครั้งที่เขาจะออกคำสั่งให้พนักงานทำโน่นทำนี้ เพียงแต่เขาจะตั้งคำถามในฐานะคนนอก ที่ไม่ได้คลุกอยู่กับงานประจำ จนกระทั่งพวกเขามองเห็นปัญหาได้กระจ่าง และเกิดความรู้ความเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
ผมไม่ได้จะมาเขียนประวัติของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) แต่ผมว่ามันน่าสนใจที่พนักงานจำนวนมาก กระตือรือร้นและรักที่จะทำงานกับผู้ชายคนนี้ หลายคนพบว่ามันเป็นความสุขด้วยซ้ำ ผมสนใจอย่างมากว่าอะไรที่ทำให้มนุษย์ทำงานอย่างมีความสุข เพราะท่านผู้อ่านก็รู้ว่า การทำงานหลายครั้งมันเป็นความทุกข์เสียด้วยซ้ำ บางคนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ก็ต้องทำงานต่อไป หากอะไรก็ตามที่จะช่วยให้คนคนหนึ่งพอจะมีความสุขในการทำงานได้บ้าง คงจะเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุดอย่างแน่นอน
ความสุขในการทำงาน
หากเราได้รับเงินประจำทุกเดือน เรายังจำเป็นที่จะต้องทำงานอยู่หรือไม่ คำตอบอาจจะแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อยากจะเป็นคนสำคัญ อยากจะมีความหมาย เราจึงอยากที่จะประสบความสำเร็จ หากเรามีเงินเพียงพอก็จะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ตามทษฎีของลำดับขั้นความต้องการของอับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) ได้ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการสิ่งพื้นฐาน (ปัจจัย 4) (Physical Needs) ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) และความต้องการความรัก (Belonging Needs) เราถึงจะสามารถไปถึงขั้นที่อยากได้รับการยอมรับ (Esteem Needs) ซึ่งทั้ง 4 ลำดับนี้ คือความต้องการระดับต้น (Deficiency Needs)
ต่อมาเป็นความต้องการที่สูงขึ้นไป เราจะต้องการเมื่อเราเติมเต็มความต้องการระดับต้นได้ เราเรียกความต้องการดังกล่าวว่า ความต้องการที่จะเจริญเติบโต (Growth Needs) ซึ่งมีลำดับขั้นประกอบไปด้วย ความต้องการใฝ่รู้ใฝ่เรียน (Cognitive Needs) ความต้องการสุนทรียะ (Asthetic Needs) และ ความต้องการความสำเร็จ หรือความสมบูรณ์แบบในชีวิต (Self Actualization Needs) เหมือนกับการค้นพบความหมายชีวิต ค่อนข้างเป็นนามธรรมพอสมควร
ได้รับการยอมรับจากตนเองและผู้อื่น
มนุษย์เราต้องได้รับการเติมเต็มความต้องการระดับต้นก่อน (ความต้องการลำดับที่ 1-4) จึงจะใฝ่หาความต้องการที่จะเจริญเติบโต (5-7) กล่าวคือ หากบุคคลไม่ได้รับการเติมเต็มเงินเดือนที่พอจะเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวให้ปลอดภัยได้ ไม่ได้มีความสัมพันที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน และไม่ได้รับการยอมรับ เขาก็จะต้องไม่อยากใฝ่เรียนรู้ ใฝ่ดี มีคุณธรรม (ถ้ามันไม่จำเป็น) ไปจนถึง ค้นพบวิถีทางชีวิตเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แห่งตน หรือใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
(ความต้องการยังมีขั้นที่ 8 อยู่ด้วย ผู้อ่านสามารถอ่าน ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ ได้ในลิ้งนี้)
ในปัจจุบันเราประเทศของเราไม่ได้มีสวัสดิการที่ดีเท่าไหร่นักนอกเหนือจากการรักษา พวกเรายังคงต้องทุ่มเททำงานหนักเพื่อหารายได้ให้เพียงพอต่อความต้องการ การทำงานจึงเป็นเงื่อนไขที่เราจะได้รับเงินมาตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะตามมาด้วยความปลอดภัย ความรักและสังคม และการได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามเงื่อนไขที่ประเทศจะสามารถเจริญเติบโตได้นั้นจะต้องช่วยเหลือให้ประชาชนตอบสนองความต้องการพื้นฐานและความปลอดภัยได้ฟรี หรือได้โดยไม่ลำบากมากนัก เพื่อให้ประชาชนได้สนองความต้องการในขั้นถัด ๆ ไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตามในปัจจุบันก็คงยังต้องทำงานอยู่ดี ด้วยระบบทุนนิยมที่ยังพัฒนาได้ไม่ดีพอ เราจึงต้องดิ้นรนเพื่อที่จะสนองความต้องการในแต่ละขั้นด้วยตนเอง เพราะเรามีสัญชาตญาณ และความปรารถนาที่ยากจะปฏิเสธหรือมองข้ามได้ แต่ทำอย่างไรเราถึงจะได้รับการยอมรับจากการทำงานได้ เบื้องต้น เราจะต้องยอมรับและนับถือตนเองก่อน นั้นหมายความว่าเราจะต้องทำงานที่เรารู้สึกว่าดี มีความหมาย และมีความสุข เพราะการทำงานอย่างมีความสุข มันหมายถึงเรายอมรับ และนับถือตนเองแล้ว เพราะเราพึงพอใจต่องานและชีวิตของเราในระดับหนึ่งแล้วนั้นเอง
มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน
การจะสามารถมีความสุขกับการทำงานได้ ในมุมมองของจิตวิทยาเชิงบวกหรือมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้หากเรามีสมาธิจดจ่อกับงานที่เรารัก ทำให้รู้สึกสนุกสนานและอยากทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่เบื่อหน่าย ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว ไมค์ ชิคเซนต์มิไฮยี (Csikszentmihalyi) เรียกว่า "สภาวะลื่นไหล" (Flow) มันจะแตกต่างจากความสนุกสนานรื่นรมย์ เราจะเป็นเหมือนหนึ่งเดียวกับเสียงดนตรี โลกทั้งใบจะเหมือนกับหยุดหมุน หลายคนเรียกว่า "สภาะท็อปฟอร์ม" (Being in the Zone)
มันจะเกิดขึ้นเมื่อเราทุ่มเทพลังใจหรือความสนใจไปที่เป้าหมายที่ทำได้จริง และเมื่อทักษะมาบรรจบกับโอกาสที่จะกระทำ เราจะทุ่มเทสมาธิและความสนใจไปที่งานตรงหน้าจนลืมสิ่งอื่น ๆ ทุกอย่างนอกเหนือจากนั้นไว้ชั่วขณะ เวลาจึงเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เซลิกแมนแนะนำว่า การที่เราจะเข้าสู่สภาวะลื่นไหล (Flow) ได้เราจะต้องรู้ว่าจุดแข็งของตนเองคืออะไร แล้วเราจะต้องออกแบบชีวิตเพื่อให้ได้ใช้จุดแข็งเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะเป็นงาน การเล่น มิตรภาพ ครอบครัว
แน่นอนว่าสภาวะลื่นไหล (Flow) ไม่สามารถเกิดกับทุกคน หลายคนอาจไม่สามารถทำงานจนลืมเวลาได้ แต่หัวใจสำคัญของการทำงานอย่างมีความสุขก็คือ ความรู้สึกดีที่ได้ทำงานนั้น หรือรักในตัวงาน ยกตัวอย่างเช่น หากคนที่ประกอบอาชีพครู รักการสอน ก็จะทำให้เขาทำงานอย่างมีความสุข แม้การสอนจะไม่ได้ทำให้เขาสอนจนลืมเวลา แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกดี หรือ พนักงานบัญชีที่อาจจะไม่ได้หลุ่มหลงกับการทำงานด้านตัวเลข แต่ก็สามารถทำงานได้เรื่อย ๆ อย่างมีความสุข
อย่างที่ผมบอกว่าหัวใจสำคัญ ก็คือความรู้สึกดีที่ได้ทำงานนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ตัวงานอย่างเดียว พนักงานบัญชีอาจไม่ได้รู้สึกดีกับงานของตัวเอง แต่รู้สึกดีที่ได้ทำงานในองค์กรที่มีส่วนสำคัญ กล่าวคือ เขามีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ซึ่งทัศนคติดังกล่าว เกิดขึ้นได้กับตัวพนักงานเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นได้จากองค์กรหรือบริษัท ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ให้สวัสดิการดี มีชื่อเสียงในทางที่ดี ก็สามารถหล่อหลอมให้พนักงานมีทัศนคติในการทำงานที่ดีได้ หรือแม้จะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาก แต่บริษัทก็สามารถหล่อหลอมให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายได้ ซึ่งจะทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดี และทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
การมีอิสระในการทำงาน
อีกปัจจัยที่สำคัญในการสร้างแรงจูงใจและความสุขในการทำงานให้กับพนักงานก็คือ การให้เขารู้สึกว่ามีอิสระในการทำงาน อย่างที่ เอ็ดเวิร์ด ดีซี (Edward Deci) และริชาร์ด ไรอัน (Richard Ryan) ได้บอกว่า วิธีการที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) มักจะใช้ คือ การทำให้พนักงานรู้สึกว่ามีอิสระในการทำงาน เพราะเมื่อพวกเขามีอิสระ พวกเขาจะรู้สึกมีอำนาจใจการตัดสินใจ คนเราจะกระตือรือร้นกับการทำให้ดีที่สุดโดยธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นความเป็นอิสระยังเป็นความต้องการพื้นฐานเชิงจิตวิทยาของมนุษย์
การศึกษาของทั้งดีซีและไรอันพบว่า การได้ตัดสินใจด้วยตนเองจะช่วยกระตุ้นความกระตือรือร้นภายในและเป็นพื้นฐานของสุขภาพจิตที่ดีในทุกวัฒนธรรมและพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จโดยไม่จำกัดแค่ในที่ทำงาน ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยเหตุผลส่วนตัวจะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่รู้ลดเพราะผู้อื่นกดดัน เช่นเดียวกับคนที่ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่เอง จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ถูกคนอื่นกดดัน นอกจากนั้นผู้ป่วยจะทำตามแผนการรักษาของหมอมากกว่าถ้าพวกเขาเข้าใจและเห็นด้วยกับแผนนั้น
คุณค่าของการมีอิสระในการทำงานก็คือ ทำให้คนโอบรับเป้าหมายของตนเอง โดยคิดว่าพวกเขาเลือกที่จะลงทุนลงแรงในงานนั้น ๆ เอง ความรู้สึกเป็นเจ้าของนี้สร้างแรงบัลดาลใจให้พนักงานโดยมีความสนใจ ความสงสัยใคร่รู้ และความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จเป็นตัวขับเคลื่อน เมื่อใดที่เป็นเช่นนี้ หรือเมื่อความสนใจของผู้บริหารและของพนักงานมาบรรจบกัน ก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องคอยจับตาดูพนักงานอยู่ตลอดเหมือนกระบวนการทำงานในยุคเก่า หรือที่บริษัทส่วนมากทำอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนั้นแล้วการจู้จี้ ห้ามนู้นห้ามนี้อาจจะเป็นผลร้ายมากกว่าที่คิดเอาไว้ เนื่องจากการค้นพบทางจิตวิทยาสังคมเรียกว่า "ปฏิกิริยาโรมีโอและจูเลียต" (Romeo and Juliet Effect) มีผลครอบคลุมมากว่านั้นไม่เพียงแต่คู่รักเท่านั้นที่จะแสดงท่าทีดื้อแพ่งต่อต้านเมื่อถูกกำจัดอิสรภาพ แต่สิ่งนี้เป็นกับทุกบริบท เมื่อใดก็ตามที่เราถูกสั่งห้ามโน่นห้ามนี้ สิ่งที่ถูกห้ามก็ยิ่งน่าทำขึ้นมาทันที
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า ความต้านทาน (Reactance) เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่ากำลังถูกควบคุมหรือเมื่ออิสรภาพของเรากำลังตกอยู่ในอันตราย เราจะมีแรงจูงใจที่จะพยายามนำมันกลับคืนมา ซึ่งบ่อยครั้งมักจะพบในรูปแบบของการขัดคำสั่ง เหมือนกับที่ผู้สูบบุรี่ที่เห็นภาพคำเตือนเกี่ยวกับผลของการสูบบุหรี่ก็จะยิ่งมุ่งมั่นสูบต่อไปมากกว่าเดิม เหมือนกับซองบุหรี่ในประเทศไทยแม้ว่าจะใช้ภาพน่ากลัวมากแค่ไหน คนก็สูบกันอยู่ดี หรือในกรณีที่เราถูกยัดเยียดขายสินค้า เราก็มักจะยืนกรานที่จะไม่ซื้อเด็ดขาด เพราะยิ่งถูกบังคับมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งต่อต้านมากเท่านั้น
การมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี
นอกเหนือจากการได้รับการยอมรับ สภาวะลื่นไหล และการมีอิสระในการทำงาน จะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้นแล้ว ปัจจัยอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่แบ่งได้เป็น 2 ข้อใหญ่ ๆ เลยก็คือ สถานที่ทำงาน และสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน ในส่วนของสถานที่ทำงานนั้นบริษัทชั้นนำของโลกพยายามจะออกแบบสถานที่ทำงานให้พนักงานมีความสุขมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น กูเกิลเพล็กซ์ (Googleplex) เป็นสำงานใหญ่ของบริษัทกูเกิลในเมาน์เทนวิว ที่นี้พนักงานจะได้มีโอกาสชิมอาหารอันประณีตระดับงานศิลป์กว่า 200 ชนิด หรือ บริษัทซอฟแวร์ แซส ที่วิเคราะห์ธุรกิจซึ่งทำรายได้กว่าสามพันล้านเหรียญในปี 2012 มีสนามเทนนิส ซาวนา โรงบิลเลียด สระว่ายน้ำที่มีระบบทำความร้อน และที่ปรีกษาด้านงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่งรวมถึงการให้คำแนะนำอย่างเป็นความลับเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน การดูแลผู้สูงอายุ และปัญหาครอบครัว ส่วนที่เฟซบุ๊ก พนักงานสามารถขี่จักรยานซึ่งบริษัทจัดไว้ให้ไปยังร้านตัดผม นำผ้าไปซักร้านซักแห้ง กาแฟขนมขมเคี้ยวฟรี หรือหาหมอฟันบริษัทได้อย่างสะดวกสบาย
จึงปฏิเสธไม่ได้เลยที่พนักงานจะมีความสุขหากได้ทำงานบริษัทเหล่านี้ หลายบริษัทในประเทศไทยก็มีหลายที่ที่ออกแบบสวัสดิการ และสถานที่ทำงานได้อย่างน่าสนใจ และต้องการให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็น Rabbit Digital Group, Bitkub, Line รวมไปถึง Facebook และ Google ในประเทศไทย อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องออกแบบสถานที่ทำงานโดยใช้เงินมหาศาล เพียงแค่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานให้กับพนักงานก็เพียงพอจะทำให้พวกเขามีความสุขได้แล้ว เช่น การรักษาพยาบาล อาหาร หรือเครื่องดื่ม
อีกส่วนหนึ่งก็คือสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน เรียกได้ว่าเป็นหัวข้อที่ใหญ่อย่างมากในประเทศไทย เพราะหลายสำนักงานมีความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ซึ่งทำให้พนักงานรู้ทำงานโดยไร้ความปลอดภัยทางจิตใจ ซึ่งความสัมพันธ์เป็นพิษมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ย่ำแย่ ผู้บริหารที่แย่จนทำให้สร้างความกดดันขึ้นมา กล่าวคือ พฤติกรรมของคนในองค์กรโดยส่วนมากจะเป็นอย่างไร มีอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมและผู้บังคับบัญชา หากองค์กรสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยเหลือกันซึ่งกัน หรือ ผู้บังคับบัญชาที่เข้าอกเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชา ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษก็จะไม่เกิดขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น