หัวใจของ SLC คือการสร้างพื้นที่ร่วมกันระหว่างครู นักเรียน และผู้ปกครอง เพื่อเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และสะท้อนปัญหาไปด้วยกัน
ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็ก และเติบโตขึ้นมาเป็นครู สิ่งที่ผมพบเจอตลอดคือ การเรียนการสอน และการประเมินในรูปแบบ "One Size Fits All" ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแย่ หลายโรงเรียนมีระบบการทำงานที่ดี ครูในปัจจุบันพัฒนาทักษะทางด้านการสอนได้ดีมากขึ้น และปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนในปัจจุบันได้มากขึ้น แต่ก็ด้วยความที่เชื่อว่าเด็กทุกคนต้องเรียนในแบบเดียวกัน เดินไปตามเส้นทางเดียวกันทำให้เกิดความยากลำบากสำหรับเด็กบางคน
โดยเฉพาะกับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นออทิซึมเปกตรัม บกพร่องทางการเรียนรู้ บกพร่องทางสติปัญญา ผิดปกติทางอารมณ์หรือพฤติกรรม บกพร่องด้านภาษา และพิการทางกายภาพอื่น ๆ รวมไปถึงสมาธิสั้น (ที่ไม่ได้อยู่ในความพิการทั้ง 9) นักเรียนเหล่านี้ไม่ได้แปลกแยก เพียงแค่เกิดมาแตกต่าง และด้วยเกณฑ์การประเมินที่มีค่าเฉลี่ยคิดจากนักเรียนทั่วไป จึงทำให้นักเรียนที่มีความแตกต่างดังกล่าว
กรอบสิทธิมนุษยชนและนโยบายสากล ไม่ว่าจะเป็น Salamanca Statement (1994) ที่ชี้ชัดว่าโรงเรียนปกติที่มีจุดยืนแบบเรียนรวมคือวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับการแบ่งแยก CRPD (2008) ที่กำหนดให้ทุกประเทศจัดการศึกษาแบบเรียนรวมในทุกระดับ และ SDG 4 (2015–2030) ที่ตั้งเป้าหมายเพื่อการศึกษาที่ครอบคลุมและเท่าเทียมสำหรับทุกคน เป็นที่ยอมรับแล้วว่า การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive) ที่รวมทุกคนไว้ด้วยกันและเดินไปพร้อมกันเป็นเป้าหมายที่ทุกสถาบันจะต้องเดินไป
ผมเข้าใจว่าในสังคมไทย การเรียนรวมยังคงถูกมองว่าเป็นความยาก ความเข้าใจส่วนใหญ่เชื่อว่าการจัดการเรียนรู้ที่ดีคือการนำเครื่องมือหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็ม แต่แท้จริงแล้วหัวใจของปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนเครื่องมือ แต่อยู่ที่ ฐานคติที่ฝังลึก (Unconscious assumptions) ของครู ผู้ปกครอง และระบบการศึกษาที่คุ้นชินกับแนวคิดเหมารวม (One Size Fits All) ดังที่ผมกล่าวมา
หากใครไม่สามารถตามทันก็ถูกมองว่าไม่พร้อมหรือไม่ควรอยู่ในห้องเดียวกัน ฐานคติที่หยั่งรากลึกเช่นนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ สอดคล้องกับงานวิจัยในหลายประเทศ รวมทั้งบริบทไทย ที่พบว่า ครูจำนวนไม่น้อยกังวลกับชั้นเรียนที่มีนักเรียนมากเกินไป ขาดบุคลากรสนับสนุน และไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอ ส่งผลให้บางคนเชื่อว่าการเรียนรวมอาจทำให้คุณภาพการเรียนรู้ลดลง
SLC สามารถเป็นเครื่องมือที่เจาะลงไปในฐานคติ เพื่อสร้างโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้
โดยเฉพาะเมื่อต้องดูแลนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษในระดับรุนแรง (Gal, Ryder, Amsalem, & On, 2025) ความคิดเหล่านี้สะท้อนฐานคติที่ฝังลึกและวัฒนธรรมการศึกษาแบบเหมารวมที่ยังไม่เปิดรับความจริงของความหลากหลายทางผู้เรียน ขณะเดียวกัน Louis (2006) ชี้ว่า การจะเปลี่ยนวัฒนธรรมโรงเรียนได้ ต้องอาศัยชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional community) ที่เข้มแข็งซึ่งก่อร่างขึ้นจากความไว้วางใจ การสะท้อนร่วมกัน และการเรียนรู้ร่วมกันในสถาบัน
School as Learning Community (SLC) เพื่อเปลี่ยนแปลงฐานคติ
ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เปลี่ยนแปลงฐานคติได้ แต่ในบทความนี้ผมอยากจะเสนอกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในสถาบันที่ใหญ่กว่านี้เล็กน้อย เรียกว่า โรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (School as Learning Community: SLC) มีเป้าหมายหลักในการสร้างโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริง แนวคิดนี้มุ่งเน้นการรวมพลังของบุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นครู นักเรียน ผู้ปกครอง หรือผู้บริหาร ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในโรงเรียน
SLC เป็นภาพกว้างที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงจากหน่วยที่เล็กที่สุด นั่นคือชั้นเรียน โดยเสริมพลังครูให้ร่วมกันทำความเข้าใจการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อออกแบบงาน และบทเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ หรืออาจกล่าวได้ว่า PLC เป็นกระบวนการที่ครูและบุคลากรทางการศึกษามาร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาและปรับปรุงการสอน โดยเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้ การสะท้อนผลการปฏิบัติงาน และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในแนวราบ แตกต่างกับ SLC ที่ต้องอาศัยการร่วมมือกันของทั้งโรงเรียนให้เกิดขึ้น
ในบริบทนี้ School as Learning Community (SLC) จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทลายกำแพงดังกล่าว เพราะ SLC ไม่ได้มุ่งเปลี่ยนแค่เครื่องมือการสอน แต่เปลี่ยนวิธีคิดและวัฒนธรรมการเรียนรู้ทั้งระบบ หัวใจของ SLC คือการสร้างพื้นที่ร่วมกันระหว่างครู นักเรียน และผู้ปกครอง เพื่อเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และสะท้อนปัญหาไปด้วยกัน ผ่านกระบวนการสำคัญ เช่น Open Classrooms ที่ครูเปิดห้องเรียนให้เพื่อนครูหรือบุคคลภายนอกเข้ามาสังเกต Post-Lesson Discussion ที่เปิดพื้นที่สะท้อนบทเรียนร่วมกัน และ Collaborative Culture ที่ทุกฝ่ายมีบทบาทเท่าเทียมในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้
ดังนั้น คำตอบของการเรียนรวมไม่ได้อยู่ที่การเร่งนำนวัตกรรม เทคโนโลยี หรือสื่อทันสมัยมาใช้เพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างวัฒนธรรมแบบ SLC ที่ทำให้ครูมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทดลองแนวทางใหม่ ๆ และเรียนรู้จากกันและกัน ครูจึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในการจัดการชั้นเรียนที่หลากหลาย แต่กลับมองเห็นความจริงว่า ความหลากหลายคือธรรมชาติ ไม่ใช่ปัญหา ผู้ปกครองก็เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นและตระหนักถึงศักยภาพของลูกทุกคน
ในขณะเดียวกัน นักเรียนทุกคนเองก็เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างของเพื่อนร่วมชั้นอย่างเป็นธรรมชาติ การเปลี่ยนฐานคติในลักษณะนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ เอ็ดการ์ เชน (Edgar Schein) ที่ชี้ว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมต้องเริ่มจากการ เปลี่ยนความเชื่อเดิม (Cognitive restructuring) และ แช่แข็งความรู้ที่เปลี่ยนเรียบร้อยใหม่ (Refreezing) ด้วยฐานคติที่เข้มแข็งและยั่งยืน อันเป็นก้าวสำคัญของโรงเรียนไทยสู่การเรียนรวมที่แท้จริง
หรืออาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากครูไม่กี่คน แต่เกิดขึ้นจากการสร้างวัฒนธรรมใหม่ ผ่านเครื่องมือ SLC โดยครูหลายคนร่วมกันเผยแพร่ สนับสนุนการศึกษาเพื่อนักเรียนทุกคนให้กับสถาบันของตนเอง ร่วมกับชุมชนและผู้ปกครอง พร้อมกับเผยแพร่ไปยังสถาบันต่าง ๆ จากนั้นสร้างให้ความเปลี่ยนแปลงนี้กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่อันทรงคุณค่า
หากมองไปข้างหน้า การทลายกำแพงของการเรียนรวมในไทยจะไม่อาจเกิดขึ้นได้จากความพยายามของครูเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยการสร้างวัฒนธรรมใหม่ทั้งโรงเรียน ที่ยอมรับความแตกต่าง เคารพศักดิ์ศรีของผู้เรียน และเรียนรู้ร่วมกันในฐานะชุมชนทางการศึกษา ผมเชื่อว่าการใช้ SLC หรือแม้แต่ PLC ก็ตามเป็นสะพานเชื่อมเพื่อเปลี่ยนฐานคติที่ฝังลึกนี้ได้ และทำให้คำว่า One Size Doesn’t Fit All
ไม่ใช่เพียงข้อความเท่ ๆ แต่กลายเป็น จุดยืนใหม่ของการศึกษาไทยที่ไม่ควรจะทิ้งกลายไว้กลางทาง
อ้างอิง
คาลอส บุญสุภา. (2567). การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาด้วยชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community :PLC). https://sircr.blogspot.com/2024/12/professional-learning-community-plc.html
คาลอส บุญสุภา. (2567). ทฤษฎีวัฒนธรรมองค์กรของ เอ็ดการ์ ไชน์ (Edgar Schein): การเปลี่ยนแปลงฐานคติที่ฝังลึกผ่านการสนับสนุนจากผู้นำและกระบวนการเรียนรู้ในองค์กร. https://sircr.blogspot.com/2024/10/edgar-schein.html
ทรงวุฒิ วีเปลี่ยน, ศิริพงษ์ เศาภายน, และจารุวรรณ พลอยดวงรัตน์. (2566). แนวทางการบริหารโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC). วารสารวิจัยวิชาการ, 6(6), 301–316.
Gal, E., Ryder, C., Amsalem, D., & On, D. (2025). Shaping inclusive classrooms: Key factors influencing teachers’ attitudes toward inclusion of students with special needs. Education Sciences, 15(5), 541. https://doi.org/10.3390/educsci15050541
Louis, K. S. (2006). Changing the culture of schools: Professional community, organizational learning, and trust. Journal of School Leadership, 16(4), 477–489. https://doi.org/10.1177/105268460601600502
United Nations. (1994). The Salamanca statement and framework for action on special needs education. UNESCO. https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000098427
United Nations. (2008). Convention on the Rights of Persons with Disabilities (CRPD). https://www.un.org/disabilities/documents/convention/convoptprot-e.pdf
United Nations. (2015). Sustainable Development Goal 4: Ensure inclusive and equitable quality education and promote lifelong learning opportunities for all. United Nations. https://sdgs.un.org/goals/goal4
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น